วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเทรด Forex Exness แบบยั่งยืน

การเทรด Forex ให้ได้กำไร  มีองค์ประกอบ 3 อย่าง ที่จะทำให้มีกำไรในการเทรด Forex แบบยั่งยืน

1. Forex Trading System (ระบบเทรด) มีความสำคัญ 10%
เพื่อนๆ ควรหาระบบเทรด ที่เหมาะสมกับตัวเองให้เจอ ควรเป็นระบบที่ทน Drawdown ได้ ที่สำคัญเมื่อมีระบบแล้วก็ต้องทำตามให้ได้

2. Money Management (การบริหารเงิน) มีความสำคัญ 30%
เมื่อ มีระบบเทรดแล้ว Money Management ก็จะปรากฎให้เห็นเอง ว่าเราจะจัดการกับเงินทุนยังไง ให้เหมาะสมกับข้อมูลระบบเทรดที่มี เช่น เรามีข้อมูลว่าระบบของเรามีโอกาศเสียติดๆ กัน เราก็ต้องลงเงินในจำนวน % น้อยๆ มี Stop loss อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อจะทำให้ไม่ทำให้พอร์ตเสียหายมาก

3. Psychology (จิตวิทยา) มีความสำคัญ 60%
ในการเทรด Forex การ ควบคุมจิตใจ ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดให้กำไรแบบยั่งยืนได้เลยที่เดียว ต่อให้เพื่อนๆ มีสองข้อแรกดีแค่ใหน ถ้าขาดการควบคุมจิตใจไปก็ไม่สามารถจะเทรดให้กำไรแบบยั่งยืนได้ ตัวที่เด่นๆ คือ ความโลภ กับความกลัว รองลงมาคือ ความมั่นใจเกินไป

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีกำไรก็เกิดความโลภ เพิ่ม Positions มากขึ้น พอตลาดเปลี่ยนทิศก็ขาดทุนมาก พอขาดทุนก็เกิดความกลัว ลด Positions ลง พอตลาดถูกทิศก็กำไรน้อย (ไม่ทำตามกฎ Money Management ที่ได้วางไว้)

หรือ ราคาวิ่งเลยจุดเข้าไปไกลแล้ว แต่เกิดความโลภ เห็นราคาไหลจึงรีบเข้ากลางทาง พอตลาดเปลี่ยนทิศก็ขาดทุนมาก พอขาดทุนก็เกิดความกลัวพอระบบให้สัญญาณในครังต่อไปก็ไม่กล้าเปิดคำสั่งซื้อ ขาย พอตลาดถูกทิศก็ไม่มีกำไร (ไม่ทำตามระบบเทรด forex ที่ได้วางไว้)

หรือ เทรดได้ติดๆ กันหลายครั้งทำให้เกิดความมั่นใจเกินไป เพิ่ม Positions มากขึ้น โดยไม่ทำตามกฎ Money Management ที่ได้วางไว้ พอตลาดเปลี่ยนทิศก็คืนกำไรที่ได้มาไปจนหมดในครั้งเดียว

ดังนั้นเพื่อนๆ ที่ซื้อขายเอาไว้ตามระบบก็คอยออกตามระบบ ใครที่ตกรถก็นั่งดูไปก่อน อย่าเข้ามาในตลาดขณะที่ไม่ใช่เวลาซื้อขาย

เล่น forex แบบสบายๆ มีสัญญาณซื้อก็ซื้อ มีสัญญาณขายก็ขาย พยายามอย่าคิดมาก เล่นตามระบบที่วางไว้ แล้วทำกำไรตามระบบ ไปเรื่อยๆดีกว่า

ข้อสำคัญที่สุดคือมีวินัยในการ Stop loss เพราะถ้าหากคาดการผิด จะได้ไม่เสียหายมาก แต่ถ้าถูกทาง ก็ Let profit run


"อยู่รอดให้ได้ก่อนแล้วค่อยทำกำไร"



ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,103.0.html

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด 

บทความนี้ ไม่ไใช่เคล็ดลับที่จะช่วย หรือทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ แต่เป็น ความจริง เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูดถึง
เราต้องเรียนรู้ ทั้ง 12 เรื่อง ต่อไปนี้ แล้วจะทำให้คุณ เข้าใกล้ความสำเร็จ มากขึ้น

ทิป 12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

1. เรียนรู้พื้นฐาน

เป็น เรื่องที่ต้องพูดถึง พูดถึงนักเทรดหน้าใหม่ มือใหม่ส่วนมากจะมองข้ามการเข้าใจพื้นฐานไป แล้วกระโดดเข้าไปสู่ สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอน มันส่งผลร้ายแรงกับพวกเขา

ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานการเทรด !

2. คุณจะไม่รวยเร็ว แต่ประสบการณ์จะทำให้คุณรวย
หาก คุณเข้ามาเทรดเพราะอยากจะรวยเร็ว คุณคือนักเดินทางที่ไม่มีเข็มทิศ อย่ามัวแต่ไร้เดียงสา การเทรดเป็นเรื่อง ของประสบการณ์ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ คุณก็จะเทรดได้ดียิ่งขึ้น มักมีการถามบ่อย ๆ เช่น คุณทำกำไร 90 จุด ได้ยังไง ผมทำได้แค่ 70 จุด ทั้ง ๆ ที่เทรดเหมือนกัน ? มันเป็นเพราะประสบการณ์ หากเราเทรดมา 5 ปี เป็น นักเทรดที่มีประสิทธิภาพ เราย่อมจะเห็นสิ่งที่มือใหม่ไม่เห็น เพราะใช้ประสบการณ์ เส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ เป็นเส้นทาง ที่ยาว ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ 1 – 3 ปี กว่าที่เราจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

จำไว้เสมอว่า Forex ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ไม่ใช่หนทางลัดไปสู่การรวยเร็ว

3. ผู้เชี่ยวชาญผู้หลอกลวง

การ ฟังความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือ ตลาดเงิน เป็นที่ที่มือใหม่ทุกคน ชอบคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ คนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 60 ปีนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่ชอบใส่สูท จะบอกว่า ตัวเองเป็นนักเทรดมืออาชีพ และขอให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นเทรดเดอร์ที่ล้มเหลว ซึ่งจะทำเงินจาก การสอนผู้อื่นเทรดว่า ทำไมถึงขาดทุน

พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมืออาชีพ มักจะเป็น ดังนี้ :
1. ชอบให้ข้อมูลเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ไม่เวิร์ค
2. พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักเทรดมืออาชีพที่รวยและพยายามขายหนังสือให้กับคุณ
3. พวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เขาทำเงิน 1 พันเหรียญ ให้กลายเป็น 1 ล้านเหรียญภายใน 1 สัปดาห์ หรืออะไรประมาณนี้
4. พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักเทรดที่ได้กำไร โดยการโพสต์ภาพที่แต่งขึ้นโดย photoshop
5. ชอบใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ตัวเองดูว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เขาเป็นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น พูดถึงแต่ออร์เดอร์ที่กำไรหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงออร์เดอร์ที่ขาดทุน

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพนั้นเป็นเรื่องตลก
ระวังอย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด

4. วิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง

ต่อ เนื่องจากข้อ 3 การที่เดินตาม คนอื่น จะทำให้คุณเป็น แกะตาบอด เป้าหมายของคุณ คือการเป็นนักเทรด ที่ ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใคร ซักคน อย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะ นักเทรด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้ คุณเข้าใกล้ ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้ :
1. ทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง
2. ได้เรียนรู้ในการเทรด

ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพ อย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเลมมิ่ง คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันนึงมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

คุณจะเข้าใจหรือไม่ว่า พวกเขา มาบอกคุณทำไม ?
ทำไมตอนนี้พวกเขาไม่มาบอกคุณอีกแล้ว ?

5. ตำนาน เดโม
หาก คุณอยากจะเป็นนักมวยอาชีพ คุณต้องออกไปซื้อ เกมส์ต่อยมวย เอามาเล่นบนเครื่อง Play 3 แล้วก็มาฝึกมวย อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ? มันก็เหมือนกับการเทรดเดโม แล้วคุณหวังว่า จะกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพได้

การเทรดเดโม 3 เดือน ไม่เหมาะด้วยเหตุผลสองประการ :
1. เดโม ทำให้มือใหม่มั่นใจแบบผิด ๆ และทำให้พวกเขาติดนิสัยการเทรดที่ไม่ดี
2. บัญชีเดโม เรามักจะเทรดได้ดีกว่าบัญชีเงินจริงเสมอ เพราะมีออพชั่นที่ดีกว่า เช่น ส่งออร์เดอร์ได้ไวกว่า เร็วกว่า และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

วิธีแก้ คือ
ใช้เดโมในการเรียนรู้พื้น ฐานเกี่ยวกับวิธีการเทรด เมื่อคุณพร้อมที่จะเทรด คุณควรเทรดด้วยเงินจริงเท่านั้น ซึ่ง ทุกวันนี้ คุณสามารถเปิดบัญชีด้วยเงินเพียง 10 เหรียญ แล้วทำไมจึงไม่เทรดเงินจริงกัน

ถ้าหากยังไม่มีความสามารถหาเงิน 10 เหรียญมาเทรดได้
ก็ไม่ต้องมาเทรดเลยดีกว่า ....

6. พยายามแก้ปัญหาการขาดทุนติดกันให้ได้

นี่ เป็นข้อที่สาคัญที่สุดที่ควรใส่ใจในการเทรด ถ้าไม่มีกฏข้อนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ ที่ประสบความ สาเร็จ ถ้าคุณเสียติดกัน สามครั้งติด ๆ กัน ให้อยู่ห่าง ๆ จากกราฟ หยุดไปซักพัก แล้วกลับมา พร้อมสมอง ที่ว่างเปล่า การเทรดเสียติด ๆ กัน เป็นสิ่งอันตรายมาก และสามารถนำเราไปสู่การเสียครั้งใหญ่ได้

แค่นี้คงอธิบายได้ชัดพอ ไม่ต้องย้ำอะไรมาก

7. การตามคนอื่น
เคย ได้ยินไหมว่า ? นักเทรดส่วนใหญ่ของมือใหม่ 90 % ล้มเหลวกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็จริง ที่บอกว่า นักเทรด มือใหม่่ส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาด ต่างก็ล้มเหลว

ความลับ ก็คือ การคิดต่างออกจากปากคนส่วนใหญ่ และเทรดด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณอยู่ห่าง ๆ จากบอร์ดต่าง ๆ แต่หมายถึง คุณควรทำาทุกอย่างด้วยตัวเอง หาความรู้ประสบการณ์ ในการที่จะเป็นอิสระ จาก การตามความคิดของผู้อื่น

ลองคิดเรื่องพวกนี้ดู :
1. นักเทรดส่วนใหญ่ที่เป็นมือใหม่ ล้วนแต่ล้มเหลว
2. ถ้าเราตามคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่
3. ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่ เราก็จะล้มเหลว

การที่จะเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นผู้ตาม

8. ยึดมั่นในวิธีการของตัวเอง
วิธี การเทรดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่มีระบบเทรด วิธีการใด หรือการเทรดแบบไหน ที่จะได้กำไร 100 % ตลอดไป วิธีการ เช่น มีโอกาสกำไรเฉลี่ย เท่ากับ 80 % บางช่วงของปี ควรจะได้กาไร 60 % หรือบางทีในช่วงอื่น ๆ ของปีก็ได้กาไร 100 % ซักหนึ่งหรือสองเดือน ควรรู้ว่าแต่ละปี จะต้องเจอช่วงที่แย่ และต้องเสียมากกว่าที่เคยเสีย เราจะต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และยังเทรดมันต่อไป

แต่ปัญหาของมือใหม่ คือ จะยอมแพ้ หลังจากเพียงแค่ สัปดาห์แรกเท่านั้น
อย่าทิ้งระบบของคุณเมื่อเวลาแย่ ๆ มาถึง

9. พยายามทำให้มันธรรมดาที่สุด นี่เป็นเรื่องง่าย และ ธรรมดา !
การ เทรดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก หรือซับซ้อน ตัวอย่างวิธีการเทรด ค่อนข้างธรรมดาและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลา 2 -5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการเทรด โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามปกติ วิธีการเทรดไม่ต้องซับซ้อน และยากต่อการทำ ความเข้าใจ
ทำให้มันง่าย ซึ่งจะทำให้คุณ:
1. ใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ไม่ต้องเฝ้ามาก
3. ทำให้เรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น

ถ้าคุณจำอะไรเกี่ยวกับบทความนี้ไม่ได้เลย คุณต้องจำข้อ 10

10. เทรดเพียงคู่เดียวเท่านั้น
กุญแจ ไปสู่ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากมือใหม่ไปสู่มืออาชีพ คือ การทำให้การเทรดของคุณ เป็นเรื่อง ธรรมดาที่สุด วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด คือ การทำให้การเทรดของคุณนั้นธรรมดาที่สุด โดยการเทรดแค่ คู่เงินเดียว ข้อนี้ธรรมดามาก แต่ว่าไม่น่าเชื่อว่า ไม่ค่อยมีใครทำมัน การเทรดแค่คู่เดียวจะช่วยเราได้ เพราะ จะทำให้คุณมีสมาธิ และพยายามเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงินคู่นั้น ๆ ดังนั้น มันจะทำาให้คุณเข้าใจว่า มันเคลื่อนไหวยังไง?

ถ้าคุณพยายามดื้อดึง เทรด 5 คู่ ในเวลาเดียวกัน การเรียนรู้ในการเทรดย่อมจะยากกว่า

คุณจะต้องเรียนรู้ลักษณะพิเศษ ของค่าเงินแต่ละคู่ คุณจะต้อง:
1. มีปฏิกิริยากับข่าว ที่แตกต่างตามค่าเงิน
2. อัตราการวิ่งของแต่ละคู่ที่ บางคู่ช้า บางคู่เคลื่อนไหวเร็ว
3. เวลาที่คู่เงินเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงวันหนึ่ง
4. ต้องจัดการออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ แตกต่างกันไป

ในฐานะมือใหม่ การกระโดดเข้าเล่นหลายคู่แบบนี้ จะทำให้มีความกดดันสูง และทำให้เรียนรู้ได้ช้า

ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการ เทรดคู่เดียว
เมื่อคุณได้กำไร คุณสามารถเทรดได้หลายคู่ เท่าที่คุณจะสามารถรับได้

11. เทรดเพียงแค่ Time Frame (TF) เดียว
การเทรด Time Frame เดียวก็เป็นการทำให้ระบบธรรมดา

การดู Time Frame เดียวมีประโยชน์ ดังนี้ :
1. ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ ในแต่ละ Time Frame ดังนั้น มันจะช่วยลดความสับสน ที่มาพร้อมกับ การเรียนรู้การใช้ หลาย ๆ Time Frame
2. ทำให้คุณต้องดูกราฟน้อย และมีสมาธิในการวิเคราะห์กราฟ Time Frame เดียวมากขึ้น ดังนั้น จะทำให้คุณ วิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในการวิเคราะห์
3. ช่วยลดการวิเคราะห์มากเกินไป โดยการดูหลาย Time Frame ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
4. มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

จำ ไว้เสมอว่า ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ระบบเทรดของเราธรรมดามาก ถ้าคุณเทรด Time Frame เดียว และคู่เงินเดียว ในฐานะมือใหม่ คุณไม่ควรจะไปยึดกับกราฟหลายกราฟ

ควรจะเทรดกราฟเดียว จนกว่า คุณจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

12. กราฟสะอาด
มือ ใหม่ส่วนใหญ่ จะใส่ Indicator เต็มไปหมดในกราฟของพวกเขา ตอนที่เข้าเทรด Indicator ช่วยคุณในการเทรด ฉะนั้นถ้าเราใส่เยอะ หมายความว่าดีกว่า ? ผิด หรือ ถูกกันแน่!

เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะพบว่า ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี Indicator ที่มากจะทำให้คุณสับสนมากขึ้น
ยิ่งคุณมี Indicator มากเท่าไหร่ก็จะทำให้ :
1. ทำให้กราฟยุ่งเหยิง ยากต่อการวิเคราะห์กราฟ
2. ทำให้คุณ ต้องคิดมากกว่าปกติ และการตัดสินใจของคุณแย่ลง
3. เพิ่มความขัดแย้งของสัญญาณมากขึ้น ระหว่าง Indicator

ฟังดูไม่เวิร์คเลย ใช่ไหม ? ...
Indicator ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด จะเทรดด้วยกราฟเปล่า ๆ และอัตรากำไรต่อขาดทุนถึง 80 % ไม่ได้บอกว่า คุณต้องเอา Indicator ออกให้หมด แต่ว่า หลายคนเทรดโดยไม่ใช้ Indicator พร้อมกับแนวรับแนวต้านและ รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่าง ๆ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,109.0.html

มาทำความรู้จักกับระบบ Lot กันครับ



หลายๆคน คงงงกับระบบ Lot ของโปรแกรมเทรด MT4 เพราะพื้นฐานแต่ละคนมาไม่เหมือนกัน บางคนก็เทรดที่ Marketiva มาก่อน หรือเทรดโบรกเกอร์ที่โปรแกรมเทรดที่เป็นของโบรกเกอร์นั้นเอง จำนวนเงินที่ใช้เทรดก็จะเรียกต่างกัน เช่น โบรก Marketiva ก็จะใช้ระบบ Quantity ใส่ 100 Q= ลงเทรด 1 ดอล จุดละ 1 Cent

เรามาดูระบบ Lot ของโปรแกรม Mt4 กันดีกว่าครับ เพราะระบบ Lot เป็นระบบสากลที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ และโบรกเกอร์ส่วนใหญ่เลือกใช้

ระบบ Lot ของโบรกเกอร์ก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าโบรกเกอร์นั้นจะกำหนด ผมจะจำแนก ระบบ Lot  เป็นดังนี้

1. Standard Lot
ส่วน ใหญ่โบรกเกอร์ทุกโบรกเกอร์ก็จะใช้  Standard Lot กับบัญชีที่มีเงินเยอะๆ  Standard Account , Classic Account , Pro Account แล้วแต่ว่าโบรกเกอร์นั้นจะตั้งชื่อ

Standard Lot จะเริ่มต้นด้วย
ผม จะอิงทศนิยม 4 ตำแหน่งนะครับ ตำแหน่งสุดท้ายของค่าเงิน การเคลื่อนที่ของราคาตัวสุดท้าย ถ้าเคลื่อนที่ไป 1 เท่ากับเคลื่อนที่ไป 1 จุด (pips)
0.1 Lot  คือ เราจะ ได้-เสีย (Profits/Loss) จุดละ 1 ดอล
1.0 Lot  คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 10 ดอล
100 Lot คือ กำไร - ขาดทุน จุดละ 1000 ดอล

Micro Lot  
1 $=100 Cent  เกือบทุกโบรกเกอร์นะครับ จะมีบัญชี Cent (Cent Account) ให้เราได้เทรด เงินน้อยก็สามารถเทรดได้ ใช้ระบบ Micro Lot ของบัญชี Cent
0.1 Lot Cent  คือกำไรขาดทุน จุดละ 1 เซน
1.0  Lot Cent คือ กำไร ขาดทุน จุดละ 10 Cent
10.0 Lot Cent คือ กำไร ขาดทุน จุดละ 100 Cent หรือ 1 ดอลล่าร์
100 Lot Cent  คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 1000 Cent หรือ 10 ดอลล่าร์

บางทีเราเห็นเพื่อนๆเทรดกัน 100 Lot ติดลบทีเป็น 10000 ก็อย่าตกใจนะครับ เค้าเทรดบัญชี Cent

Mini Lot
Mini Lot จะเหมือนกับ Standard Lot แต่แตกต่างกันนิดหน่อยคือ มี 0.01 เพิ่มขึ้นมาด้วย
0.01 Lot คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 0.1 ดอล หรือ 10 Cent
0.1 Lot  คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 1 ดอล
1.0 Lot  คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 10 ดอล
100 Lot คือ กำไร - ขาดทุน จุดละ 1000 ดอล

บางโบรกเกอร์ก็จะมีระบบ Lot ที่แตกต่างจาก Lot มาตรฐาน เช่น โบรกเกอร์ Instaforex
โบรกเกอร์ Instaforex  บัญชีที่เป็น Standard จะเริ่มต้นเทรดที่
0.01 Lot คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 1 Cent
0.10 Lot คือ กำไร - ขาดทุน จุดละ 10 Cent
1.0  Lot คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 1 ดอลล่าร์
10.0Lot คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 10 ดอลล่าร์
100 Lot คือ กำไร-ขาดทุน จุดละ 100 ดอลล่าร์

ข้อควรระวังนะครับ หลายๆคนเป็นบ่อย และเสียเงินจากความผิดพลาดนี้
-  เมื่อ เราติดตั้งโปรแกรม Mt4 ใหม่ หรือไปใช้คอมที่ร้าน Internet เมื่อลงโปรแกรมแล้ว กด New Order ทันที โดยไม่ได้ดู Volume ทุกโบรกเกอร์จะ Set ตรงนั้นไว้เป็น 1.0 Lot อย่าลืมไปเปลี่ยนนะครับ
-  ลง Lot ให้เหมาะสมกับ Balance  หรือ Margin ที่มีอยู่นะครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,82.0.html

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
   
นายเวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
   
ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
   
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
   
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
   
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
   
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
   
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
   
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณอาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
   
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
   
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี

คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี

ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา

เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "

ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,71.0.html

Rudy Leder เทรดเดอร์ค่าเงินชาวอเมริกัน

Rudy Leder เทรดเดอร์ค่าเงินชาวอเมริกัน เรื่องราวความเป็นมาของเขาไม่ได้มีอะไรแปลกพิศดาร จุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้ต่างไปจากเทรดเดอร์หลายๆคนที่เข้าสู่วงการเทรด เริ่มแรกเขาเพียงต้องการหางานอิสระให้กับตัวเอง เพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานประจำที่ต้องทำมากกว่า 60 ชั่วโมงต่ออาทิตย์เพื่อทำให้คนอื่น (นายจ้าง) รวย ซึ่งถ้าเขาอยากได้เงินเพิ่มเขาก็ต้องทำโอที แต่นั่นก็ไม่ทำให้ตำแหน่งของเขาปรับขึ้น งานของเขา มันเป็นงานที่คนอื่นๆเรียกมันว่า "งานที่ไร้อนาคต" ตอนนั้นเขายังเด็กและไม่ได้มีเงินเก็บเลย แต่เขามีบางอย่างที่หลายคนไม่มี เขามีความกล้าที่จะออกไปจากสถานการณ์แบบนั้น พร้อมด้วยแรงผลักดันอันแรงกล้าจากภายใน และเนื่องจากเขามีความหลงใหลในตลาดเงินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงรู้ทันทีว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการจะเป็น 


ในช่วงแรก เขาเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับความพยายามคิดหาหนทางที่จะเอาชนะตลาดให้ได้ แล้วในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่า สิ่งที่เขาพยายามอยู่นั้นมันไม่ต่างอะไรกับการไม่ได้ทำอะไรเลย!!!

หลังจากนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตาอ่านทุกสิ่่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเทรดค่าเงิน ทั้งจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต มันมีสิ่งที่ต้องอ่านมากมายจริงๆ ทั้งหมดที่เขาทำ เขานั่งศึกษาและเรียนรู้มันอยู่ที่บ้านของเขา ไม่ต้องมีเจ้านาย ไม่ต้องมีต้นทุน มันเป็นอะไรที่ใครๆ ก็ทำได้ "ผมตื่นเต้นมากจริงๆ ในตอนนั้น ผมจึงลองเปิดบัญชี Demo และโหลดโปรแกรม MT4 มาเทรด โดยผมดูวิธีเทรดจาก  YouTube เป็นส่วนใหญ่"  หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็เทรดค่าเงินเป็นอาชีพมาตลอดเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ในช่วงแรก เขาไปลงเรียนกับอาจารย์สอนเทรดหลายๆคน พอเรียนจบกับคนนี้ก็ไปเรียนต่อกับคนนั้น ไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดเขาก็เริ่มคิดได้ว่า จริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องช่วยเหลือตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะทุกคนมีมุมมอง วิธีคิดหรือปรัชญาในการมองตลาดที่แตกต่างกัน ดังนั้น คุณจำเป็นต้องค้นหาวิธีเทรดด้วยตัวของคุณเอง คนที่ช่วยสอนเทรดส่วนใหญ่จะให้คุณได้มากในเรื่องของ basic เกี่ยวกับตลาดค่าเงิน และทำให้คุณเข้าใจภาพรวมของตลาดรวมถึงปัจจัยที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ แต่สุดท้ายแล้ว คุณจะเทรดอย่างไร คุณต้องหามันเอง!!!!!!

"แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังเชื่อว่าอาจารย์สอนเทรดเก่งๆ ก็มีอยู่บ้าง แม้จากประสบการณ์โดยตรงของผมที่เป็นทั้งผู้เข้าเรียนและผู้สอน ผมรู้สึกว่าคนที่เข้าเรียนได้รับประโยชน์จากการอบรมเพื่อจะเป็นเทรดเดอร์อิสระไม่มากนัก สถาบันอบรมเหล่านี้ จะแสดงผลกำไรให้คุณเห็นว่าเขาสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นรายวัน รายสัปดาห์ที่เหลือเชื่อ จนคุณอดใจไม่ไหวต้องจ่ายเงินค่าเรียนเทรดให้พวกเขาจำนวนมาก ในความเห็นของผมโดยสัตย์จริง ผมมองว่าถ้าผู้สอนเหล่านี้รู้จริงเกี่ยวกับการเทรดค่าเงิน และสามารถบอกผู้เรียนได้ถึงอุปสรรคต่างๆ ในการเทรดได้อย่างครบถ้วน ก็น่าจะมีคนที่ประสบความสำเร็จในการเทรดมากกว่านี้"  

คุณคิดว่าในการสอนของผู้สอนเทรดส่วนใหญ่ ขาดอะไรไปบ้าง"
อืม ผมเชื่อว่าผู้สอนเทรดเหล่านั้น รู้สึกว่าเขาควรจะต้องสอนทุกอย่างให้แก่นักเรียนของเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้นักเรียนเหล่านั้นได้ข้อมูลคุ้มค่ากับค่าเล่าเรียน แต่สุดท้ายผู้สอนมักจะให้บทเรียนที่มากเกินไปจนนักเรียนของเขาไม่สามารถรู้อะไรได้อย่างถ่องแท้เลยสักอย่าง" เวลาที่เรียนอะไรก็ตามเกี่ยวกับวิธีหรือหลักการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการเทรดนั้น คุณไม่ได้ต้องการน้ำน้ำหรอก สิ่งที่คุณต้องการคือเนื้อแท้หรือแก่นจริงๆ ที่จะได้ใช้ในการเทรดเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว อะไรก็ตามที่อาจารย์พยายามจะยัดเยียดให้ คุณไม่เคยได้ใช้มันหรอก คุณต้องจำไว้ว่า "น้อยดีกว่ามาก" แต่คุณต้องรู้ไอ้ที่น้อยๆ นั้นอย่างลึกซึ่ง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเทรด

ถ้าคุณยังนึกภาพไม่ออกเกี่ยวกับสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ ขอให้คุณจินตนาการว่า ด้วยเงิน $19.99 ระหว่างการกินไก่ KFC 20 ชิ้น กับ การกิน 3 ชิ้น ในข้อแม้ว่าคุณต้องกินให้หมดเท่านั้น อันไหนมันดีกว่ากันสำหรับคุณ???

คิดยังไงเกี่ยวกับ EA
"Expert Advisors หรือ EA จริงๆ ผมก็ว่ามันดีนะ มันสามารถช่วยให้งานของเราง่ายขึ้น ทำให้เราใช้เวลาอยู่หน้าจอน้อยลง  แต่ผมไม่ชอบเลย พวกที่มาขายระบบเทรด หรือ EA ผ่านเมล์หรือเว็บไซต์ต่างๆ แล้วบอกว่ามันสามารถทำเงินได้ 5% ต่อเดือน "Only $259 Get it now " มันตลกไหม ถ้าคุณมี EA ที่สามารถทำเงินให้คุณได้ 5% ทุกเดือน ทำไมคุณจะขายมันแค่ $259 ล่ะ จริงไหม 

โดยส่วนตัว ผมชอบที่จะเปิด order ด้วยตัวเองมากกว่า แต่อาจเอา EA เข้ามาช่วยในบางครั้งเพื่อติดตามผลการเทรด สำหรับผม EA มันใช้ไม่ได้ผลสักเท่าไร  

หลักการคิดเกี่ยวกับการใช้ EA ก็คือคุณสามารถจำกัดการใช้เวลาในการทำสิ่งที่คุณรักซึ่งก็คือการเทรดน้อยลง มันบ้ามากใช่ไหม ถ้างั้นแล้วเวลาว่าง คุณจะทำอะไรล่ะ ^^    

ระบบเทรดและ Time Frame ที่ใช้ 
ระบบเทรดที่ผมใช้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยทั่วไปก็คือขนาดของพอร์ต margin ,leverage และเป้าหมายของผม แต่ในแผนของผม ผมจะเลือกวิธีเทรดแค่หนึ่งถึงสองวิธีเท่านั้น ผมจะไม่พยายามเทรดด้วยหลายๆ ระบบในหนึ่งบัญชี เพราะคุณจำเป็นต้องใช้สมาธิกับระบบหนึ่งระบบใดเท่านั้น ผมรู้ว่ามีเทรดเดอร์หลายคนอาจบอกคุณว่าพวกเขาเทรดโดยใช้ Fibonacci retracements, ดู pivots และใช้แนวรับแนวต้านเป็นรายวันเพื่อหาจังหวะเข้าเทรด นั่นอาจทำให้คุณต้องใช้ยานอนหลับเพราะโรคนอนไม่หลับ ผมชอบที่จะใช้ time frame ใหญ่หน่อย เพื่อที่จะมองทิศทางว่าคู่เงินนั้นๆจะไปทางไหนในหนึ่งถึงสามเดือนข้างหน้า ความเข้าใจนิสัยและพฤติกรรมของค่าเงินหนึ่งคู่นั้นมันคล้ายๆกับการที่คุณเข้าใจแฟนของคุณ และคุณต้องมีแฟนได้ทีละคน อย่ามีทีละเป็นสิบคน เพราะการจะเข้าใจใครซักคนนั้นมันต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ 

หลังจากผมได้ทิศทางของตลาดแล้ว ผมจึงจะลดขนาดมุมมองไปดูที่ time frame ที่เล็กลง แต่โดยทั่วไปผมจะไม่ใช้ TF ที่เล็กกว่า 30 นาที  

คนประเภทไหนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ 
ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ได้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่รูปแบบ ความเป็นมาหรือพื้นฐานเฉพาะของใครบางคน ผมคิดว่าคนจำนวนมากพยายามจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างให้กับตัวเอง ผมพูดเสมอว่า "ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้คุณก็จะทำได้"  สำหรับคำแนะนำของผมสำหรับมือใหม่ ก็คือ อย่าพยายามเรียนรู้ที่จะเทรดค่าเงิน option ,future หรือแม้แต่หุ้น แค่เพราะว่าคุณเห็นคนอื่นกำลังทำเงินจากมันได้เป็นจำนวนมาก แต่จงทำมันเพราะคุณรักในการเทรด และคุณชอบที่จะอ่านข่าว รวมถึงวิเคราะห์ชาร์ต

นอกเหนือจ่ากการเทรดแล้ว คุณทำอะไรบ้าง
ผมพยายามออกกำลังกาย ทำอาหาร อ่านหนังสือบ้าง และแน่นอนบางวันผมก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน แต่ผมก็ยังสนุกกับการทำ back test ในเวลว่างด้วยเช่นกัน

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,67.0.html

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มารู้จักโบรเกอร์ Exness สำหรับเทรด Forex กันเถอะ!

EXNESS ได้รับการก่อตั้งขึ้นปี 2008 ในเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย



Exness มีความความซื่อสัตย์ยุติธรรม การเปิดเผย โปร่งใส และยังได้รับใบรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2008 รวมถึงได้รับรางวัลโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย ปี 2012 โบรกเกอร์ Forex ดีเด่นในรัสเซีย 2011 โบรกเกอร์ Forex มาตรฐานดีเด่นแห่งเอเชีย 2012 โบรกเกอร์ Forex ดีเด่นในรัสเซีย 2012 โบรกเกอร์ Forex ดีเด่นในตะวันออกกลาง 2012 

Exness ให้บริการซื้อขายออนไลน์ Forex คู่สกุลเงินรวม 134 คู่ รวมทั้ง CFD ในตลาดหุ้น และ CFD ในฟิวเจอร์ สามารถกำหนด Leverage ได้สูงสุดถึง 1:2000 ซึ่งมากกว่าโบรเกอรือื่นถึง 5 เท่า

Exness รองรับระบบการชำระเงินฝาก-ถอนผ่าน เงินจะเข้าในบัญชีเทรดของคุณทันที
ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์
    - Skrill (Moneybookers)
    - Liberty Reserve
    - Webmoney
    - CashU
    - Pecunix
    - Perfect Money
    - C-Gold
    - MoneyMail
    - RBK Money
    - QIWI
บัตรเครดิต Visa และ MasterCard
สำหรับในประเทศไทยสามารถใช้บริการได้ผ่านทาง เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือธนาคารออนไลน์

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.forexbuddytrader.com

กฎ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุนด้วย การวิเคราะห์ทางเทคนิค

กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ


1. ดูแนวโน้ม
เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5. ใช้เส้นแนวโน้ม
เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น

6. ติดตามค่าเฉลี่ย
หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน

7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold) ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที

8. มองเห็นสัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์ สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์ สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,32.0.html

forex คือ

Forex คือตลาดทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยสิ่งที่ซื้อ-ขายกันในตลาดนี้คือเงินตราสกุลต่างๆ ครับ โดยตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึง 3.6 ล้านล้าน เหรียญสหรัฐ มากกว่าทุกตลาดทางการเงินในโลกนี้รวมกัน!

ประวัติ Forex กับ กฎหมายไทย Forex เป็นเรื่องทั่วไปเป็นปกติของตลาดโลก (แต่ลองถาม ชาวบ้านทั่วๆ ไป เค้าจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งหลอกลวงแทน) ตอนนี้ใครจะเล่นก็ได้ครับ เพราะเล่นกับผู้ให้บริการที่ถูกกฏหมาย(ของต่างประเทศ) แทนแล้ว ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ก็คือ คุณเล่นการพนันผิดกฏหมายในไทย แต่ถ้าคุณไปเล่นลาสเวกัสมันก็ไม่ผิดอะไร แน่นอนปัจจุบันรัฐก็พยายามเต็มที่อย่างไม่ลืมหูลืมตาจับคนให้บริการ Forex หรือ คนเล่นมาลงโทษไม่ได้ ผมเลยอยากจะเตือนใจคนเล่น Forex จุดนี้ไว้

Forex ถือมีความจำเป็นยิ่งในประเทศไทย มีผู้ที่ให้บริการและที่ใช้บริการได้แบบไม่ผิดกฏหมายอยู่ ก็คือ พวกสถาบันการเงิน ธนาคารต่างๆ นั่นเอง ทำไมถึงจำกัดวงแคบ แค่นี้ ทั้งๆ ที่หากคุณศึกษาดูจะเห็นว่า ธนาคารต่างๆ ได้กำไรจาก Forex มากมายจริงๆ แต่ไม่อนุญาติให้บุคคลธรรมดา ทำการแลกเปลี่ยนแบบนี้  นายแบงค์ระดับสูงบางคน Trade Forex เพื่อธนาคารของตนเองอย่างถูกกฏหมาย แม้กระทั่งผู้ว่าการธนาคารบางคน ยังเป็นประธานชมรม Forex แห่งประเทศไทยได้เลย (อย่างถูกต้องตามกฏหมาย) แต่ใครจะรู้ว่าบุคคลเหล่านี้อาจจะมีผลประโยชน์ทางอ้อม หรือ ทางตรง เค้าได้ Trade เองด้วยหรือไม่ Forex อนุญาติให้แค่คนกลุ่มเล็กๆ ในไทยเท่านั้นที่ทำได้!

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,97.0.html