วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การลงทุนในทองคำ

การลงทุนในทองคำ
เป็นกระแสที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความนิยมเป็นอย่างมาก โดยนักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยเหตุผลที่มีอย่างมากมายที่สามารถดึงดูดนักลงทุน เช่น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำตามสถิติตั้งแต่ปี 2001 ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 150% ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากกำลังการผลิตที่ลดลง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าขณะนี้ราคาทองจะปรับตัวลดลงก็ตาม ความนิยมในการลงทุนก็มิได้ลดน้อยลงเลย บทความนี้ก็อยากจะพูดทั้ง 2 มุมมองของการลงทุนในทองคำไม่ว่าทางตรงโดยการซื้อทองคำแท่งเอง และการลงทุนโดยอาศัยความชำนาญของผู้บริหารกองทุน

1. การลงทุนโดยตรง

นัก ลงทุนส่วนใหญ่แล้วจะนิยมซื้อทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณมาเก็บไว้ ช่วงที่ผ่านมาราคาขึ้นแรงๆ คนก็เอาไปขาย บางช่วงที่ราคาปรับลดลง คนก็ไปซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร การที่นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อหรือขายนั้น ผมอยากแนะนำให้ท่านได้ติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำด้วย เช่น ในช่วงที่ผ่านมาราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเพราะอะไร เราก็ต้องไปดูและศึกษาว่า Demand และ Supply นั้นสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าหรือราคาจริงของทองคำไหม หรือเป็นเพราะเกิดจากการเก็งกำไรของ Hedge Fund อย่างที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ตัวอย่างที่ผ่านมาสำหรับสถานการณ์การซื้อขายทองคำในช่วงสงกรานต์ จะเห็นได้ว่าความต้องการซื้อทองคำปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามด้วอย่างไรก็ดี การลงทุนในทองคำก็ถือเป็นการลงทุนที่ใช้ในการลดผลกระทบจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจากถ้าเรามองราคาทองคำระยะยาวแล้ว ทองคำก็ยังคงมีมูลค่าสูงอยู่ดี แม้ปรับลดด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วก็ตาม

2. การลงทุนผ่านกองทุนรวม

ซึ่ง ถือเป็นการอาศัยความเชี่ยวชาญของ บลจ. ต่างๆ ซึ่งเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น TMB Gold Fund, ING Golden Star link, BT FIF Golden link เป็นต้น อย่างที่เราทราบกันดี การลงทุนในกองทุนรวมมีขั้นตอนในการตัดสินใจพิจารณาหามูลค่าของการลงทุนนั้นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขาย โดยกลยุทธ์การซื้อขายของกองทุนเท่าที่ผมเข้าใจ จะใช้การบริหารเชิงรับ (Passive Investment Strategy) โดยเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศอีกที ฉะนั้นการลงทุนประเภทนี้ก็ถือเป็นกองทุน FIF อย่างหนึ่ง ถ้าถามว่าปัจจัยใดที่มีผลกระทบต่อเงินลงทุนของกองทุนประเภทนี้ คำตอบคือความผันผวนของราคาทองคำ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ความเสี่ยงด้วยกัน

1) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ (Price Risk)

หมาย ถึง โอกาสที่ราคาทองในตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้นหรือลดต่ำลงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือระยะยาวในบางครั้ง เช่น ในช่วงที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ขายเงินทุนสำรองที่เก็บในทองคำออกมาในตลาด จนทำให้ราคาทองในตลาดโลกลดต่ำลง ทั้งนี้ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกองทุน เนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาทองในตลาด โลก ดังนั้นหากราคาทองในตลาดโลกลดลงจะส่งผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน ลดลงได้อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำมีความเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงจากการลงทุนการ ลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้ ทั้งนี้ จากข้อมูลทางสถิติย้อนหลังที่ทำการศึกษาทั้งในและต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนของทองคำมีค่าความสัมพันธ์กับผลตอบแทนจากการลงทุนในสภาวะที่คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้มีแนวโน้มลดลง

2) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk)

ความ เสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงิน สกุลต่างประเทศอื่น กล่าวคือ หากค่าเงินบาทมีค่าแข็งขึ้นจากวันที่กองทุนเข้าลงทุนเมื่อเทียบกับสกุลเงิน ดอลลาร์ที่เข้าลงทุนนั้น (เช่น จาก 33 บาท ต่อ1ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 31 บาท) จะทำให้กองทุนได้รับดอกเบี้ยตามงวดและ/หรือเงินต้นเมื่อครบกำหนดของตราสาร เป็นเงินบาทในจำนวนที่น้อยลง ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนต่ำกว่าที่คาดไว้ ในทางกลับกัน หากค่าเงินบาทมีค่าอ่อนลง (เช่น จาก 33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35 บาท) จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเมื่อคำนวณเป็นสกุลเงินบาทมากขึ้น

3. การลงทุนแบบ Gold Future

คือ สัญญาซื้อขายราคาทองคำล่วงหน้าในตลาดภายในประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ เป็นทางเลือกหนึ่ง สำหรับลงทุนได้ ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้น และราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถ ขายก่อนซื้อได้ หรือซื้อก่อนขายได้ และใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อทองแท่งจริง Gold Futures จึงเป็นทางเลือกที่ น่าสนใจในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนการเล่นตลาด Gold Future ทำการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ บ้านเราก็คือ TFEX นี่เอง TFEX จะเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์การซื้อขาย คอยจัดการดูแลให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาด ปฏิบัติตามสัญญา ตลาดนี้มีลักษณะอีกอย่างที่เรียกว่า zero sum games นะครับ มีคนได้มีคนเสียเท่าๆกันเสมอซื้อ Gold Futures ต่างอะไรกับทองคำจริงๆบ้าง ทองคำจริง อยากซื้อเท่าไหร่ก็ซื้อได้ ซื้อแล้วเอามานอนกอดได้ ขาดทุนยิ่งต้องกอดมันไว้นานๆ แต่ซื้อทองคำ Futures จะมีคนมาสะกิดคุณทุกวันว่า วันนี้ กำไรหรือขาดทุน ยิ่งขาดทุน ยิ่งเครียด เพราะจะถูกสะกิดให้เติมเงินเข้าไปในบัญชี หากยังอยากถือไว้Gold Futures มีข้อกำหนดหลักๆ คือมันเป็นสัญญาจะซื้อ/จะขายทองคำ โดย 1 สัญญาจะเท่ากับ 50 บาท โดยการซื้อ ใช้แค่เงิน 10% เสียเงินค่าคอมมิชชั่นขั้นต้น 450 บาท + Vat 7% หรือ 481.50 บาท ตีมั่วๆง่ายๆ ก็ 500 บาทซะ ไปกลับประมาณ 1000 เท่ากับ 1 บาท คุณมีต้นทุนแล้ว 20 บาท ซึ่งยังถูกกว่าส่วนต่างของราคาสมาคม 5 เท่า (สมาคม 100 บาท) แปลว่า คุณมีโอกาสในการใช้เงินที่เคยซื้อทองคำได้แค่ 5 บาท มาซื้อทองคำ Gold Futures ได้ถึง 50 บาท และมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าเดิม 10 เท่า พร้อมๆกับส่วนต่างที่น้อยลงไปอีกบาทละ 80 บาทข้อดีที่ชัดๆของ Gold Futures ที่ผมเห็น คือโอกาสในการขายก่อน หรือเล่นในตลาดช่วงขาลง กรณีไม่มีของอยู่ในมือ ซึ่งทองคำของจริง หรือ KGOLD หรือ TMBGOLD ไม่สามารถทำได้ ได้แต่รออย่างเดีย แต่อย่าเพิ่งนอนใจนะครับ นั่นเป็นด้านดีที่ทำให้คนเข้าสู่ตลาดจนลืมด้านไม่ดี คือมันสามารถพาคุณขาดทุนได้เพิ่มขึ้นอีก 10 เท่าด้วยเหมือนกัน

4. การลงทุนแบบ Gold spot (แนะนำ)

Gold Spot คือ สัญญาซื้อขายราคาทองคำในตลาดโลก ที่สามารถซื้อ-ขายได้ทันที โดยผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวน แค่วางเงินส่วนหนึ่งไว้กับโบรกเกอร์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อเป็นเงินมัดจำ หรือเรียกว่า เงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin)โดยที่เราจะเน้นทำกำไร จากส่วนต่างของการซื้อขายราคาทองในตลาดโลก โดยราคาทองจะมีหน่วยเป็นเงินดอลล่าร์ (USD) ต่อน้ำหนัก 1 ออนซ์ (Ounce) โดยที่ราคาทองจะวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ โดยมีแรงซื้อขายจากตลาดทั่วโลก ซึ่งสามารถทำการซื้อขายทองคำด้วยพอร์ทลงทุนของผู้เล่นเอง และสามารถทำกำไรได้ทั้งที่ภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อยการเล่น Gold spot สามารถทำการเล่นโดยผ่านโปรเกอร์ (Broker) หรือบริษัทตัวแทนการซื้อขาย ของท่างต่างประเทศ ซึ่งสำหรับนักลงทุนทองคำชาวไทย ก็สามารถสมัครเปิดบัญชีเพื่อเทรด Gold spot กับทางบริษัทตัวแทนได้ บริษัทตัวแทนการซื้อขายที่เราแนะนำในที่นี้คือ

Exness เป็นโบรกเกอร์ Forex(อัตราแลกเปลี่ยน) ที่สามารถลงทุนซื้อ-ขายทองคำโดยอ้างอิงราคาทองคำจากตลาดโลก เล่นได้ 2 ขา ขาขึ้นและขาลงเนื่องจากมีค่า spread(คอมมิชชั่น) ที่ค่อนข้างต่ำ การฝากเงินไม่ยุ่งยาก สามารถใช้ Internet Ibanking มี กรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีและกสิกรไทย หรือฝากผ่าน 7 -11 ได้และการถอนเงินก็สามารถถอนเข้าธนาคารไทยได้ทุกธนาคาร

โดยส่วนตัว แล้วผมคิดว่าถ้าเราจะลงทุนทองคำควรเลือกที่ได้ 2 ขา จะดีกว่า ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาพไหน? ขาขึ้น หรือ ขาลง เราก็ทำกำไรได้อยู่ดี!! รู้แบบนี้แล้ว จะไม่ลองสมัครเปิดบัญชีหรือครับ? หากท่านยังไม่พร้อมเปิดบัญชี ก็ลองเปิดบัญชีทดลองซื้อ-ขายได้มีเงินปลอมให้เล่น 1 แสนดอลล่า รูปแบบการซื้อ-ขายเหมือนบัญชีจริงๆแต่ต่างกันแค่เงินเป็นเงินปลอมเท่าั้นั้น เอง รูบแบบการซื้อ-ขายจะเป็นโปรแกรมเทรด MT4 ดาวโหลดไโปรแกรมได้หลังสมัครเปิดบัญชีจริงหรือบัญชีทดลอง ซื้อ - ขาย ทองคำ คู่เงิน หุ้น สามารถส่งคำสั่งซื้อ - ขาย ได้ 24 ชั่วโมง จันทร์ - ศุกร์

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทฤษฎีดาวถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) หรือบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ทฤษฎีดาวถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว แต่กฏ และหลักการของดาว ยังคงใช้ได้ตราบจนถึงปัจจุบัน หลักการนี้มิได้พูดถึงเพียงการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น แต่สิ่งนี้ถือเป็นปรัญญาของตลาดหุ้น ที่อธิบายถึงพฤติกรรมของตลาดหุ้นที่ยังคงเหมือนเดิม เกิดขึ้นซ้ำๆเฉกเช่นเดียวกัน กับตลาดหุ้นเมื่อ 100ปีที่แล้ว



ดาว ได้พัฒนา การวิเคราะห์ตลาดหุ้น จนเกิดเป็นทฤษฏีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งเขาได้เสียชีวิตในปี 1902  ซึ่งเขาเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของ และเป็นบรรณาธิการของ หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal แม้ว่าเขาจะไม่ได้เขียนหนังสือของตัวเองก็ตาม แต่เขาก็ได้เป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือ หลายเล่มในการ ให้ความเห็นด้านการเก็งกำไร และ กฎ industrial average
หลังจากที่ดาวเสียชีวิตแล้ว ก็มี หนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับทฎษฎีของเขามากมายเช่น The ABC of Stock Speculation, The Stock Market Barometer เป็นต้น

ทฤษฎีดาว (Dow Theory)
ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 1 – สะสม
ฮามิลตัน (Hamilton) กล่าวไว้ว่าในช่วงแรกของตลาดขาขึ้นมักจะไม่แตกต่างจากตลาดในช่วงขาลง เพราะคนส่วนยังมองในแง่ลบและทำให้แรงซื้อยังคงชนะแรงขายในช่วงแรกของขาขึ้น  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ไม่มีใครถือหุ้น  ประกอบกับไม่มีข่าวดี ทำให้ราคาประเมินของหลักทรัพย์ถึงจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเช่นนี้เป็นช่วงที่ผู้ที่ลงทุนอย่างฉลาดจะเริ่มสะสมหุ้น  และเป็นช่วงที่ผู้ที่มีความอดทนและใจเย็นพอที่จะเห็นประโยชน์ของการเก็บหุ้นไว้จนกระทั่งราคาดีดกลับ  บางครั้งหุ้นมีราคาถูก แต่กลับไม่มีใครต้องการ  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่  วอเรน บัฟเฟท ได้กล่าวไว้ในช่วงฤดูร้อนของปี 1974 ว่าตอนนี้ได้เวลาที่จะซื้อหุ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ในระยะแรกของตลาดขาขึ้น  ราคาหุ้นจะเริ่มเข้าใกล้จุดต่ำสุด แล้วค่อยๆยกตัวขึ้น เมื่อตลาดเริ่มกลับตัวขึ้น คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดกำลังจะปรับตัวขึ้น และเป็นการเริ่มต้นของขาขึ้น  หลังจากตลาดยกตัวสูงขึ้นและดิ่งกลับลงมา  จะมีแรงขายออกมา เป็นการบอกว่าขาลงยังไม่สิ้นสุด  ในช่วงนี้เองที่จะต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวังว่าการปรับตัวลงมีนัยยะสำคัญหรือไม่ หากไม่มีนัยยะสำคัญ จุดต่ำสุดของการลงจะยกสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดเดิม  สิ่งที่ตามมาคือตลาดจะเริ่มสะสมตัวและมีการแกว่งตัวน้อย หลังจากนั้นจึงเริ่มปรับตัวสูงขึ้น  และหากราคาเคลื่อนขึ้นเหนือจุดสูงสุดเดิม จะเป็นการยืนยันถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น

ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 2 – การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ขั้นที่ 2 มักจะเป็นช่วงที่มีระยะเวลานานที่สุด และมีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุด  ระยะเวลานี้จะเป็นช่วงที่กิจการต่างๆเริ่มฟื้นตัว มูลค่าหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้น  รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น  ช่วงนี้จึงถือได้ว่าเป็นช่วงที่สามารถทำกำไรได้ง่ายที่สุด เพราะมีผู้เข้ามาลงทุนตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น

ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 3 – เกินมูลค่า
ระยะที่ 3 ของตลาดขาขึ้น เป็นระยะที่มีการเก็งกำไรมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะตลาดเฟ้อ (ดาวได้คิดทฤษฎีนี้ขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน แต่เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยในปัจจุบัน) ในขั้นสุดท้ายนี้ ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด  ค่าที่ประเมิน สูงเกินไป  และความมั่นใจมีมากเกินปกติ  จึงเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนกลับของขั้นที่ 1

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 1 – กระจาย
เมื่อการสะสมเป็นขั้นที่ 1 ของขาขึ้น การกระจายก็คือขั้นแรกของขาลง  นักลงทุนที่ฉลาด จะไหวตัวทันว่าธุรกิจต่างๆ ในปัจจุบันไม่ได้ดีอย่างที่เคยคิด และเริ่มขายหุ้นออก   แต่คนอื่นๆยังคงอยู่ในตลาดและยังพอในที่จะซื้อในราคาที่สูง  จึงเป็นการยากที่จะบอกว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลง  อย่างไรก็ตาม จุดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัว เมื่อตลาดปรับตัวลง คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดเข้าสู่ขาลง และยังมองตลาดในแง่ดี  ดังนั้นเมื่อตลาดปรับตัวลงพอประมาณ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาเล็กน้อย  ฮามิลตันกล่าวว่าการกลับตัวขึ้นในช่วงขาลงนี้จะค่อนข้างรวดเร็วและรุนแรง  ดังเช่นที่ฮามิลตันได้วิเคราะห์ไว้เกี่ยวกับการกลับตัวที่ไม่มีนัยยะสำคัญนี้ ว่าส่วนที่ขาดทุนไปจะได้กลับคืนมาในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์  การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนี้เป็นการตอกย้ำว่าขาขึ้นของตลาดยังไม่สิ้นสุด  อย่างไรก็ตาม จะสูงสุดใหม่จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม และหลังจากนั้น หากราคาทะลุผ่านจุดต่ำสุดเดิม นั่นจะเป็นการยืนยันถึงขั้นที่ 2 ของตลาดขาลง

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 2 – การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
เช่นเดียวกับตลาดในขาขึ้น ขั้นที่ 2 เป็นขั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคามากที่สุด  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่แนวโน้มเด่นชัดและกิจการต่างๆเริ่มถดถอย  ประมาณการณ์รายได้และกำไรลดลง หรืออาจถึงขาดทุน   เมื่อผลประกอบการแย่ลง  แรงขายจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 3 – สิ้นหวัง
ณ จุดสูงสุดของตลาดขาขึ้น ความคาดหวังมีมากจนถึงขั้นมากเกินไป  ในตลาดขาลงขั้นสุดท้าย ความคาดหวังทั้งหมดหายไป   มูลค่าที่ประเมิน ต่ำมาก  แต่ยังคงมีแรงขายอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกคนในตลาดพยายามที่จะถอนตัวออก  มีข่าวร้ายเกี่ยวกับธุรกิจ  มุมมองเศรษฐกิจตกต่ำ จึงไม่มีผู้ใดต้องการซื้อ  ตลาดจะยังคงลดต่ำลงจนกระทั่งข่าวร้ายทั้งหมดได้ถูกซึมซับแล้ว  เมื่อราคาสะท้อนถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่ดีต่างๆแล้ว  วัฐจักรก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง

บทสรุปของทฤษฎีดาว
จุดประสงค์ของดาวและฮามิลตัน คือ การหาจุดเริ่มต้นของแนวโน้ม และ สามารถจับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้  พวกเขารู้ดีว่าตลาดถูกขับเคลื่อนโดยอารมณ์ของตลาดและการเกิดปฏิกิริยาเกิน (Overreaction) จริงทั้งในด้านบวกและลบ  พวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การมองหาแนวโน้มและเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม  แนวโน้มจะยังคงอยู่จนกระทั่งสามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดถึงแนวโน้มใหม่ ทฤษฎีดาวช่วยให้นักลงทุนเรียนรู้ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตั้งข้อสมมติฐานและคาดการณ์ล่วงหน้า  การตั้งข้อสมมติฐานเป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับนักลงทุน  เพราะการคาดเดาตลาดเป็นเรื่องยาก  ฮามิลตันเองยอมรับว่าทฤษฎีดาวนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ  ในขณะที่ทฤษฎีดาวสามารถให้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์  ทฤษฎีนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาแนวทางการวิเคราะห์ของนักลงทุน การอ่านเกมตลาดเป็นศาสตร์ที่ได้จากประสบการณ์ตรงจากตลาด  ดังนั้นกฎของฮามิลตันและดาวจึงมีข้อยกเว้น  พวกเขามีความเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากการศึกษาที่จริงจังและการวิเคราะห์ที่มีทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด  ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าหลงระเริง  ขณะเดียวกัน ความผิดพลาด ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่จะให้บทเรียนที่มีค่า  การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นศิลปะอย่างหนึ่งซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกฝน เรียนรู้ทั้งจากความสำเร็จและล้มเหลวด้วยการมองไปข้างหน้า

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,45.0.html

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค

Why do people have to learn Technical chart. ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคหากคุณเชื่อว่า


- หากคุณเชื่อในกฎของอุปสงค์อุปทาน   Demand and Supply
- หากคุณเชื่อว่าคนเราส่วนใหญ่มักซื้อด้วยอารมณ์เพราะความต้องการซื้อ มากกว่าการซื้อด้วยเหตุผลเพราะราคาถูก
- หากคุณเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีวงจรชีวิตหรือวัฏจักร
- หากคุณเชื่อว่าในตลาดมักมีคนรู้ข้อมูลภายในก่อนคนอื่นเสมอ
- หากคุณต้องการเพิ่มมุมมอง สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน
- หากคุณไม่รู้ว่า P/E และ P/B เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าถูก หรือแพง เพราะในอดีตจะเห็นว่า ค่า Price to Earning ของหุ้นแต่ละตัว ตลาดหุ้นแต่ละตลาด ยังมิได้อยู่นิ่งอยู่กับที่ หรือมึค่าเท่ากันทุกตลาดเลย

ซึ่งสรุปได้ว่า ณ ช่วงเวลาต่างกันในหุ้นตัวเดียวกัน มูลค่ายังมิเท่ากัน เหตุเพราะความต้องการไม่เท่ากันต่างหากที่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากเรากำหนดสิ่งต่างๆ ว่าถูกหรือแพง โดยการใช้ค่า Price to earning หรือ Price to Book value เพียงอย่างเดียวนั้นคงจะไม่ถูกต้อง มิเช่นนั้นแล้วอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อัตราเงินเฟ้อ หรือราคาน้ำมัน คงจะคงที่เหมือนกันหมด

คนซื้อหุ้นเพราะเกิดจาก อารมณ์ และความคาดหวังว่า หุ้นตัวนั้นดี ราคาไม่แพง หรือน่าที่จะทำกำไรได้ เพราะฉะนั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการบอกถึงอารมณ์ของคนที่ ซื้อขายหุ้นตัวนั้นเป็นเช่นไร และมีแนวโน้มไปในทิศทางใด เหตุเพราะ
- ราคาหุ้นเป็นผลรวมที่สะท้อน ถึงการทราบข่าวสารต่างๆไว้หมดแล้ว
- ราคาเคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้ม
- พฤติกรรมในอดีต หรือประวัติศาสตร์มักจะเกิดซ้ำรอย

ประโยชน์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ไม่จำเป็นต้องติดตามข่าว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะสะท้อนออกมาทางราคาหรือกราฟอยู่แล้ว
- สามารถหยุดขาดทุนหรือเลือกที่จะขายทำกำไรได้ จากกราฟ
- มีความยืดหยุ่นในการใช้สูง
- ย่นระยะเวลาในการศึกษาในหุ้นแต่ละตัว และทำให้วิเคราะห์หลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้มากขึ้น
- สามารถมองเห็นพฤติกรรมของหุ้น ที่จะขึ้นลงได้ก่อนที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะค้นหาสาเหตุที่แท้จริงพบ
- สามารถ เก็งกำไร และเลือกลงทุนในระยะสั้น หรือระยะยาวได้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,33.0.html

ตลาด Forex คืออะไร?

ตลาด Forex คือตลาดทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยสิ่งที่ซื้อ-ขายกันในตลาดนี้คือเงินตราสกุลต่างๆ ครับ โดยตลาด Forex มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึง 1.9 ล้านล้าน เหรียญสหรัฐ มากกว่าทุกตลาดทางการเงินในโลกนี้รวมกัน!

ตลาด Forex มีตลาดใหญ่ๆ อยู่ที่ ญี่ปุ่น ลอนดอน นิวยอร์ค และยังมีตลาดที่ออสเตรเลีย กับยุโรป อีกด้วย ซึ่งการที่มีตลาดเปิด และปิดในหลายพื้นที่ของโลกเหลื่อมล้ำกัน จึงทำให้เสมือนหนึ่งตลาดนี้ ไม่มีวันหลับไหล โดยสามารถเริ่มเข้าตลาดได้ตั้งแต่ตี 4 เช้าวันจันทร์ จนถึงตี 4 เช้าวันเสาร์ (ตามเวลาในประเทศไทย) ตลอด 24 ชั่วโมง!!!

ก่อนอินเตอร์ เน็ทจะแพร่หลาย ตลาดการเงินแห่งนี้จะมีผู้เล่นหลักเฉพาะในกลุ่ม ธนาคาร กองทุน ผู้นำเข้า และส่งออก และในกลุ่มของคนที่ใกล้ชิดวงการธนาคาร แต่เมื่ออินเตอร์เน็ทเริ่มบูม ก็เริ่มมีการพัฒนาระบบเทรดบนอินเตอร์เน็ท และเริ่มมีผู้ให้บริการ (โบรกเกอร์) มากขึ้น จนกระทั่งเริ่มมีโบรกเกอร์ที่ให้บริการสำหรับนักลงทุนรายย่อย และมือใหม่ที่เริ่มสนใจตลาดเงินให้สามารถเริ่มต้อนได้ด้วยทุนเพียง $1 - $500 เท่านั้น!

หลายคนอาจจะเริ่มสงสัย ว่าด้วยทุนเพียง $1 จะสามารถทำกำไรได้อย่างไร

นี่ แหล่ะครับ คือความน่าสนใจอีกข้อของตลาดนี้ คือระบบที่เรียกว่า Leverage ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีทุนน้อย สามารถทำกำไรได้เสมือนหนึ่งมีทุนเป็นแสน เป็นล้าน ไว้เดี๋ยวจะอธิบายต่อไป

สรุปความน่าสนใจของตลาด Forex- เงินลงทุนต่ำ ต่ำสุดเพียง $1
- ตลาด online ผ่าน Internet 24 ชั่วโมง ดำเนินการทุกอย่างผ่าน Internet
- ไม่มีคนกลาง คำสั่งซื้อ-ขาย เป็นระบบอัตโนมัติ ไท่พลาดทุกคำสั่งซื้อ-ขาย
- สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้น และตลาดขาลง
- ค่าดำเนินการต่ำ โบรกเกอร์เก็บค่า spreed ตั้งแต่ 1 - 20 pips ต่อเทรด ขึ้นอยู่กับคู่ของค่าเงินที่เทรด
- มี demo account สามารถทดลองเทรดได้เสมือนจริง บนระบบจริง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย.

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,125.0.html

การติดตั้งโปรแกรมเทรด MetaTrader (MT4) - การ Login เข้าโปรแกรมซื้อ ขาย

การติดตั้งโปรแกรมเทรด MetaTrader - EXNESS

ดาวน์โหลด MetaTrader 4 https://www.exness.com/download/mt4setup.exe

1. ดาวน์โหลดโปรแกรม คลิกที่ Run


2. รอการดาวน์โหลดสักครู่


3. คลิก Next เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรม


4. ติ๊กยอมรับข้อกำหนดของโปรแกรม แล้วคลิก Next


5. เลือกที่อยู่ในการลงโปรแกรม คลิก Next ได้เลยครับ ไม่ต้องเปลี่ยน


6. คลิก Next


7. คลิก Next


8. รอโปรแกรมกำลังติดตั้งสักครู่


9. คลิก Finish เพื่อเสร็จสิ้นการลงโปรแกรมสำเร็จ


10. จะมี Icon ขึ้นที่หน้า Desktop



การ Login เข้าโปรแกรมซื้อ ขาย MetaTrader 4 - EXNESS
1. ดับเบิ้ลคลิกที่ Icon บนหน้า Desktop


2. ใส่เลขบัญชีเทรด รหัสผ่าน คลิด Login เท่านั้นก็เรียบร้อยครับ





ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://siammetatrader.com/

แผนการเทรด 3 ปี Admin Thaiforexschool.com

แผนการเทรด  3 ปี  ทำให้ได้ครับ เทรดให้ได้วันละ  10 จุดนั้นไม่ยากหรอกครับ   มันขึ้นอยู่กับว่า คุณมีวินัยและความอดทนได้มากแค่ไหนครับ ต้นๆปี 2015 ถ้าสำเร็จ พวกเรา มาร่วมฉลองความสำเร็จด้วยกันครับ โชคดีครับทุกท่าน  



วิธีที่จะเทรดให้ได้กำไรไม่มีให้ครับ หาด้วยตัวเองครับแต่จะมีกฎและข้อบังคับในการเทรดให้ครับ 
1. ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้วเข้าเป้า ให้เลิกทันที ( เป้าหมายไม่จำเป็นต้องวันละ 10 จุด อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ ) 
2.ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้ว โดน Stop Loss ให้รอจังหวะและหาโอกาสเปิดออเดอร์ที่ 2 
  2.1 ถ้าออเดอร์ที่ 2  โดน Stop Loss ให้หยุดทันที 
  2.2 ถ้าออเดอร์ที่ 2 เข้าเป้าให้โอกาสตัวเองอีก 1 ครั้ง ในครั้งที่ 3 
หมายเหตุ .. ถ้าออเดอร์ที่ 2 ได้กำไรมากกว่าที่เสียในออเดอร์แรก ก็ให้หยุดทันทีครับ 
3. ไม่ว่าออเดอร์ที่ 3 จะเข้าเป้า หรือ โดน Stop Loss ก็ต้องหยุดทันทีครับ 

อย่าลืมนะครับ ว่า Volume lot ที่ใช้เทรด ต้องเอา Balance/10000 นะครับ  ผมเชื่อว่าถ้าพวกคุณและผมทำตามกฎนี้ไปเรื่อยๆ เราจะไม่ชนะตลาดนี้หรอกครับ แต่เราจะมีเงินจากตลาดแห่งนี้ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูง 

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,74.0.html

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน

สิ่งที่เราควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน...อาจจะใช้คำว่า "ควร" อย่างเดียวก็ไม่ถูก ต้องใช้คำว่า "ต้อง!!"
เพราะมันคือสิ่งที่ Trader ทุกคน ย้ำนะครับว่า ทุกคน!! ต้องทำ

สิ่งที่เราต้องทำคือ Cut Loss แปลง่ายๆก็คือ หยุดขาดทุน
เมื่อทิศทางของกราฟไม่เป็นไปตามที่เราคาด เราควรจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ไม่งั้น อาจจะหมดตูดได้...

สิ่งที่นักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จทำก็ คือ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการ
เมื่อเกิดการขาดทุน จะมีความรู้สึกว่า "ต้องเอาคืนมาให้ได้เลย"
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดแบบนั้นละ ก็ล้างพอร์ตกันแทบทุกราย เอาง่ายๆคือตายเรียยบ...

ควรตั้ง Cut Loss ไว้ไม่เกิน 30% ของทุนทั้งหมด

เมื่อทำการ Cut Loss เสร็จก็ควรใจเย็นๆ แล้วหาจังหวะเข้าใหม่โดยไร้อารมณ์ตอนที่ขาดทุนไป

"ชีวิคคนเรามีขึ้น ก็ต้องมีลง"


ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,107.0.html

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตของคนที่ล้มเหลวมาตลอดเกือบทั้งชีวิต แต่ในท้ายที่สุดเค้าสู้จนได้ชัยชนะ

มีชายคนหนึ่ง พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบเขาต้องออกจากโรงเรียนกลาง คัน ขณะอายุ 16 ปี ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้งเขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคนแต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นานนัก อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไปเพราะทนใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้ช่วงอายุ 18-22 ปี เขาประกอบอาชีพเป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลวแต่เขาก็ยังต่อสู้กับชีวิต ด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลวเหมือนเดิมเขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพ แต่ก็ถูกขับออกมาหันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีแล้วเขาก็ไปทำงานเป็น พนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุดเขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว) แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมดสิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหารดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขาชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควรแต่เขากลับเลือกใช้เวลา นั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขาเขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอ กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ได้รับคำปฏิเสธ เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอเพราะเขารักและคิดถึงเธอเหลือเกินเขาใช้ เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตนเขาวางแผนทุก ขั้นตอนละเอียดยิบ คำนวณทุกฝีก้าวในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งสัปดาห์ คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ ของภรรยาของเขาเฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียม พร้อมที่จะ “ลักพาตัวเธอ!”แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนกอยู่บ้างแต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขามีต่อลูก เขาตัดสินใจที่จะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา วันนั้นลูก สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลยแม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลวเขารู้สึกเหมือนคนที่พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่าและเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะต้องอยู่เพียง ลำพังไปตลอดชีวิตแต่เหมือนปาฏิหาริย์ ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้พวกเขาทำงานด้วย กันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่งเขาเกษียณ ตอนอายุ 65 ปี วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์(ราวสี่พันบาท)เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมันไม่ใช่ครั้ง แรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ และท้อแท้ชีวิตของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนานเขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแลเขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า “จะฆ่าตัวตาย”เขาหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นกับดินสอหนึ่งแท่งนั่งลงใต้ต้นไม้ในสวน หลังบ้านอย่างสงบ ตั้งใจที่จะเขียนคำสั่งเสียและพินัยกรรมแต่แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับเหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชีวิตเกิดปัญญาเขาเริ่มต้นเขียนสิ่งที่เขาควรจะเป็น ชีวิตที่เขาควรจะมี และสิ่งที่เขาปรารถนาในช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่เขาตกใจมาก เมื่อค้นพบความจริงในชีวิตว่า เขายังไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสักอย่างเลย ! (เพิ่งนึกได้)

เขา นั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหารชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้งในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไร สักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จเขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคนและทำบางสิ่งบางอย่างที่มี ค่าด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาเขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขาด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่งจากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้าน กาแฟนั้นเขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขาแล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์สราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเองตอนอายุ 65 ปี เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปีเขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ

เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่าหากใต้ต้นไม้วันนั้นผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจ ไว้แต่แรกตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน จริงอย่างที่เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือมันอยู่ที่ว่าคุณเลือก ที่จะ “สู้ต่อ” หรือ “ยอมแพ้”

สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี ของชีวิตที่ล้มเหลว เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20 ปีแห่งความสำเร็จแล้วชีวิตของคุณหละ ล้มเหลวมากพอหรือยัง ? 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.forexbuddytrader.com

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เเนะนำวิธีดูข่าว www.forexfactory.com

ผมจะเเนะนำวิธีดูให้นะครับ www.forexfactory.com เปิดเว็บนี้ตามไปด้วยจากตารางข่าวของเว็บ Forexfactory จะประกอบด้วย Date(วันที่) ,Time (เวลา),
Currency (ค่าเงิน), Impact (ความแรงของข่าว), Actual (ตัวเลขที่ออกจริง), forecast(ตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์) ,previous(ตัวเลขที่ออกก่อนหน้านั้น)Impact

มันจะมีสี กำกับอยู่หน้าข่าวครับ โดยสีแดงจะเป็นข่าวที่มีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือสีส้ม และสีเหลือง และสีข่าวจะแสดงว่าเป็นวีนหยุดของตลาดของประเทศนั้นและตัวเลขจริงที่ออก มา Actual ตัวเลขที่ออกมาจะมี 3 สีด้วยเช่นกัน คือ

สีเขียว หมายถึง ข่าวดี
สีแดง หมายถึง ข่าวไม่ดี
สีดำ คือ ไม่มีข่าวนั้นออกมาหรือมีเเต่ไม่ส่งผลอ่ะไร

โดย ขึ้นอยู่กับความแรงของข่าวด้วย Impact ถ้าข่าว High Impact สีแดง และตัวเลขที่ประกาศออกมา เป็นสีเขียวหรือสีแดง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงประมาณ 1xxpips ขึ้นไป

-วิธี การเก็งกำไรจากข่าวในตาราง Forexfactory ให้รอดูตัวเลขจริง Actual ออกมาก่อนนะครับ เมื่อตัวเลขจริง(actual)ออกมามากกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลขที่คาด การณ์(forecast)ไว้จะส่งผลทำให้ดีกับค่าเงินนั้นๆ แต่ถ้าตัวเลขจริงออกมาน้อยกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลเสียกับค่าเงิน นั้นๆ เช่น ถ้าข่าวของ USD ออกมามากกว่า

ตัวเลขคาด การณ์(Forecast) จะทำให้ USD / XXX ขึ้น และทำให้ XXX / USD ลง ( XXX คือ ค่าเงินของประเทศนั้นๆเมื่อเทียบกับดอลล่าห์สหรัฐ(USD)อาทิเช่น JPY CHF CAD AUD NZD GBP )

ถ้าข่าว Gross Domestic Product หรือ GDP ของอังกฤษ(GBP) ตัวเลขออกมามากกว่าที่ตัวเลขที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์เอาไว้จะส่งผลให้ กราฟของ GBP/USD , GBP/JPY,GBP/CHF ขึ้น และกราฟ EUR/GBP จะลง

ระดับความสำคัญของปฏิทินเศรษฐกิจ
1. สำคัญมาก
ชื่อ ก็บอกอยู่ แล้วว่าสำคัญมาก ซึ่งจะเป็นข่าวและตัวเลขที่มีผลกระทบกับค่าเงินของประเทศนั้น ๆ อย่างแรง เมื่อตัวเลขประกาศแล้ว จะมีปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก ๆ ซึ่งจะส่งผลอยู่ประมาณ 5 – 10 นาที เราอาจจะได้เห็นกราฟเป็นแท่งยาว ๆ ทั้งขึ้น และ ลง ในเวลาเดียวกัน

2. สำคัญ
อันนี้ก็ สำคัญ ก็จะส่งผลกระทบกับตลาดเงินมากแต่น้อยกว่า “สำคัญมาก” อยู่นิดนึง ซึ่งก็จะส่งผลให้มีกราฟยาว ๆ (แต่ขนาดของแท่งจะสั้นกว่าแบบแรก)

3. ทั่วไป
อัน นี้จะเป็นข่าวเศรษฐกิจทั่ว ๆ ไป มีผลบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง หากประกาศวันเดียวกับ 2 ตัวบน อาจจะไม่ส่งผลอะไรสำคัญเลย แต่ถ้าประกาศตัวเดียว โดด ๆ อาจมีผลบ้างโดยหากสวนทางกับ 2 ตัวข้างบนอาจทำให้ตลาดนำข่าวนี้มาเล่นได้ เพราะจะเป็นตัววัดอย่างหนึ่งว่า ตัวเลขอื่นอาจจะหลอกลวงได้

คราวนี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศนั้นเกี่ยวอะไรกับราคาทองคำ โดยปกติราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับ
1. อัตราแลกเปลี่ยนของ USD
2. ราคาน้ำมัน
3. ราคาของโลหะพื้นฐาน และ โลหะอื่น พวก ทองแดง เงิน แพตตินั่ม พาลาเดียม
4. อื่น ๆ (ยังนึกมะออกจ้ะ)

คราวนี้ตัวเลขที่ประกาศจะกระทบกับ 2 อย่างตรงๆ คือ อัตราแลกเปลี่ยน กะราคาน้ำมัน แล้ว 2 ตัวนี้มีความเกี่ยวข้องกะราคาทองคำอย่างไร?
1. อัตราแลกเปลี่ยน โดยปกติ ถ้าไม่มีข่าวอย่างอื่น (หมายถึงพวกข่าวก่อการร้าย ภัยธรรมชาติ ฯลฯ) ที่มีน้ำหนักมากกว่า อัตราแลกเปลี่ยนก็จะมีผลตรง ๆ โดยไม่มีอย่างอื่นมาทำให้ราคาเพี้ยนไปจากเดิม โดยปกติแล้ว ทองคำจะขึ้นเมื่อ USD อ่อนค่า และ ทองคำจะลง เมื่อ USD แข็งค่า แล้วคำที่ว่าอ่อนค่า กับ แข็งค่า เนี่ย เค้าเทียบกะสกุลไหนบ้าง โดยปกติแล้วจะดูที่ 2 สกุลใหญ่ ชื่อ JPY และ EUR หากสองอันนี้ไปในทิศทางเดียวกัน ก็แสดงว่า USD อ่อน หรือ แข็งจริง ๆ จ้ะ

2. ราคาน้ำมัน จะเป็นตัวช่วยดัน หรือ ฉุด ราคาทองคำในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน
เอาละ... มาดูกันว่าโดยปกติปฏิทินเศรษฐกิจที่เค้าขยันประกาศตัวเลขกันมีอะไรบ้าง (มันอาจจะไม่ครบทุกอย่างนะ)

ระดับที่เรียกว่าสำคัญมาก...
ลำดับชื่อในปฏิทิน
1 Non farm Payrolls
2 Unemployment Rate
3 Trade Balance
4 GDP ( Gross Domestic Production )
5 PCE Price Deflator ( Personal Consumption Expenditure)
6 CPI ( Consumer Price index )
7 TICS ( Treasury International Capital System )
8 FOMC ( Federal open Market committee meeting )
9 Retail Sales
10 Univ. Of Michigan Consumer Sentiment Survey
11 PPI ( Producer Price Index )

ระดับที่เรียกว่าสำคัญ...
ลำดับชื่อในปฏิทิน
12 Weekly Jobless Claims
13 Personal Income
14 Personal spending
15 BOE Rate Decision ( Bank Of England )
16 ECB Rate Decision ( Europe Central Bank )
17 Durable Goods orders
18 ISM Manufacturing Index ( Institute of Supply Manager )
19 Philadelphia Fed. Survey
20 ISM Non-Manufacturing Index
21 Factory Orders
22 Industrial Production & Capacity Utilization
23 Non-Farm Productivity
24 Current Account Balance
25 Consumer Confidence ( Consumer Sentiment )
26 NY Empire State Index - ( New York Empire Index )
27 Leading Indicators
28 Business Inventories
29 IFO Business Index ( Institute of IFO in Germany )

ระดับปานกลางถึงทั่วไป โดยมากใช้เป็นตัววัดพื้นฐาน...
ลำดับชื่อในปฏิทิน
30 Housing Starts
31 Existing Home sales
32 New Home Sales
33 Auto and Truck sales
34 Employee Cost Index - Labor Cost Index
35 M2 Money Supply - Money Cost
36 Construction Spending
37 Treasury Budget
38 Weekly Chain Stores - Beige Book -Red Book
39 Whole Sales Trade
40 NAPM ( National Association of Purchasing Management)

กลุ่มสำคัญมาก
Trade Balance
โดย ปกติประกาศทุกวันที่ 20 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของ 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้ ตัวเลข Trade Balance จะนำค่าตัวเลข Export ลบกับ ตัวเลข Import หากผลที่ออกมามีค่าเป็น + จะหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี และมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

Gross Domestic Product หรือ GDP
จะ ประกาศทุก ๆ สัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือน โดย GDP คือตัววัดที่กว้างที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ การที่ตัวเลข GDP เปลี่ยนแปลงไปจะหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะบ่งบอกเกี่ยวพันถึงอัตราเงินเฟ้อ การที่ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

Personal Consumption Expenditure หรือ (PCE)
ประกาศ ทุกๆ วันแรกของการทำงานของเดือน โดย PCE จะบอกถึงการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน โดย PCE จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจับจ่ายของภาคครัวเรือน โดยตัวเลข PCE ที่สูงจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Consumer Price Index หรือ CPI
ประกาศ ทุกๆ วันที่ 13 ของเดือน โดย CPI จะเป็นตัววัดเกี่ยวกับระดับราคาของสินค้าและบริการที่ซื้อโดยผู้บริโภค CPI ที่เห็นประกาศกันจะมี CPI กับ Core CPI ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า Core CPI จะไม่รวม ภาคอาหารและ ภาคพลังงานโดยปกติ CPI จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลข CPI ที่สูงจะเป็นตัววัดเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

Treasury International Capital System หรือ TICS
ประกาศ ทุกวันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน โดย TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง โดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Federal Open Market Committee หรือ FOMC
จะ ประชุมเมื่อไร ไม่มีตายตัวแน่นอน แล้วแต่เค้าจะนัดกัน โดยการประชุมจะดูภาพรวมและผลของการประชุมที่สนใจกันคือเรื่องของอัตรา ดอกเบี้ย การปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Retail Sales
ประกาศ ทุกวันที่ 13 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนที่แล้ว โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีก ซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ (เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

University of Michigan Consumer Sentiment Index
ออก ทุกวันศุกร์ที่สองของเดือน โดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวัง และ สิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกัน หมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Producer Price Index หรือ PPI
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 11 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนก่อน PPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่ง PPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่า Core PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นการที่ PPI มีค่าสูงจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

กลุ่มสำคัญ
Initial Weekly Jobless Claims
ประกาศ ทุกวันพฤหัส จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วย ซึ่งจะบอกถึงการว่างงาน  โดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟ ทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

Personal Income
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน Personal Income เป็นตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวก ค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ) โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข Personal Income ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดี ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Personal Spending
ประกาศ แถว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า Personal Spending จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคล การจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง (แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลง แต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้น จะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Europe Central Bank (ECB), Bank Of England (BOE), Bank Of Japan (BOJ)
การ ประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ US จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น โดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ

- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไป หรือแข็งไป)
- อัตราเงินเฟ้อ และเงินฝืด

ECB ประกอบไปด้วย 25 ประเทศในยุโรป คือ Italy, France, Luxembourg, Belgium, Germany, Netherlands, Denmark, Ireland, United Kingdom, Greece, Spain, Portugal, Austria, Finland, Sweden, Czech Republic, Estonia, Cyprus, Latvia, Lithuania, Hungary, Malta, Poland, Slovakia และ Slovenia

Durable Goods Orders
ประกาศ แถว ๆ วันที่ 26 ของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของเดือนก่อน โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้า โดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิต ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง ตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable Goods Orders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Institute of Supply Management หรือ ISM
ออก ทุกวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้า การที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดี และสามารถทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้

Philadelphia Fed Survey
ออก ราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า โดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัว ๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิต ประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆ ซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ การที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น

ISM Service Index หรือ Non-Manufacturing ISM
ออก ราว ๆ วันที่สามของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลข ISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Factory Orders
ออก ราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน Factory Order เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมด การสั่งสินค้าที่สูงหมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Industrial Production
ออก ราว ๆ กลางเดือน เป็นข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไร การที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Non-Farm Productivity
ออก ราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว อันนี้เป็นตัววัดของผลงานของคนงานและต้นทุนในการผลิตของสินค้า ในสถาวะที่เงินเฟ้อมีความสำคัญตัวเลขนี้ สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้ โดยถ้าตัวเลขที่ลดลงสามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดี แต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-Farm Productivity เพิ่มขึ้นหมายถึงการยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดี และส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,93.0.html

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

เล่น Forex ในไทยผิดกฏหมายหรือไม่???

หลายท่านอาจสงสัยว่าการเล่น Forex นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ผิดทำไมบ้านเราถึงยังไม่มี Broker ที่ไหนให้บริการ ในความเป็นจริงแล้วการลงทุนใน Forex นั้นรัฐบาลไทยอนุญาติให้กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า Forex เป็นแหล่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และใช้เงินลงทุนจำนวนมาก  ประชาชนที่ไม่มีความรู้ที่เพียงพออาจเสียเงินทองจำนวนมากได้ และในอดีตมีข่าวทางด้านลบเกี่ยวกับบริษัทบางแห่ง เปิดให้บริการลูกค้าลงทุนใน Forex ในวงเงินที่สูง แต่กลับนำเงินไปรับความเสี่ยงเอง หรือทำตัวเป็นเจ้ามือเสียเอง ไม่ได้กินค่านายหน้าอย่างเดียว จนเมื่อลูกค้าทำกำไรได้มากๆ ก็ไม่สามารถจ่ายได้จนปิดบริษัทหนีไป ทำให้ Forex กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าลงทุน ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้ให้ห่างไกลจากประชาชน ซึ่งทำให้ประชาชนตาดำๆ อย่างเราถูกตัดโอกาสในการลงทุน ที่มหาเศรษฐีระดับโลกใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนชั้นเยี่ยมของเขา

ปัจจุบันการลงทุน Forex ของประชาชนทั่วไปยังถือว่าผิดกฎหมาย ทั้ง Broker ที่เปิดให้ลงทุนในประเทศไทย และผู้ลงทุนที่โอนเงินไปลงทุนกับ Broker ในต่างประเทศ โดยรัฐบาลกลัวว่าจะเป็นช่องทางที่จะนำเงินนอกระบบไปฟอกเงินนั่นเอง สำหรับท่านที่ลงทุนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มทักษะทางการลงทุนคงไม่จำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องนี้มาก หากแต่ท่านที่ลงทุนเงินเป็นจำนวนมาก คงต้องคิดถึงความเสี่ยงด้านนี้ด้วย เนื่องจากการนำเงินกลับเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากทางธนาคาร อาจทำให้ ปปง. เพ่งเล็งท่านได้ ตอนนี้ทำอะไรก็ตามแต่ ต้องโปร่งใส และพิสูจน์ไม่ได้ครับ แล้วท่านจะห่างไกลจากการตรวจสอบของรัฐบาลไทย ที่ยังเกรงว่าประชาชนของพวกเขาจะโดนหลอก จึงปิดกั้น แทนที่จะให้ความรู้ (เพราะมันง่ายดี)



ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,101.0.html

รวม ตัวอักษรย่อของเงินแต่ละสกุล

1. AED เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
2. AFN อัฟกานีอัฟกานิสถาน
3. ALL เลกแอลเบเนีย
4. AMD แดรมอาร์เมเนีย
5. ANG กิลเดอร์เนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส
6. AOA ควันซาแองโกลา
7. ARS เปโซอาร์เจนตินา
8. AUD ดอลลาร์ออสเตรเลีย
9. AWG กิลเดอร์อารูบา
10. AZM มานัตอาเซอร์ไบจาน
11. BAM มาร์กคอนเวอร์ทิเบิลบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
12. BBD ดอลลาร์บาร์เบโดส
13. BDT ตากาบังกลาเทศ
14. BGN เลฟบัลแกเรีย
15. BHD ดีนาร์บาห์เรน
16. BIF ฟรังก์บุรุนดี
17. BMD ดอลลาร์เบอร์มิวดา
18. BND ดอลลาร์บรูไน
19. BOB โบลีเวียโนโบลิเวีย
20. BOV Bolivian Mvdol (Funds code)
21. BRL เรียลบราซิล
22. BSD ดอลลาร์บาฮามาส
23. BTN เอ็งกุลตรัมภูฏาน
24. BWP ปูลาบอตสวานา
25. BYR รูเบิลเบลารุส
26. BZD ดอลลาร์เบลีซ
27. CAD ดอลลาร์แคนาดา
28. CDF ฟรังก์คองโก
29. CHF ฟรังก์สวิส
30. CLF Chilean Unidades de fomento (Funds code)
31. CLP เปโซชิลี
32. CNY หยวนเหรินหมินปี้ (สาธารณรัฐประชาชนจีน)
33. COP เปโซโคลอมเบีย
34. COU Colombian unidad de valor real (added to the COP)
35. CRC โกลองคอสตาริกา
36. CSD ดีนาร์เซอร์เบีย
37. CUC Cuban convertible peso (replaced USD as additional national currency in November 2004)
38. CUP เปโซคิวบา (still in use)
39. CVE เอสคูโดเคปเวิร์ด
40. CYP ปอนด์ไซปรัส
41. CZK โครูนาเช็ก
42. DJF ฟรังก์จิบูตี
43. DKK โครนเดนมาร์ก
44. DOP เปโซโดมินิกัน
45. DZD ดีนาร์แอลจีเรีย
46. EEK ครูนเอสโตเนีย
47. EGP ปอนด์อียิปต์
48. ERN แนกฟาเอริเทรีย
49. ETB เบอร์เอธิโอเปีย
50. EUR ยูโร
51. FJD ดอลลาร์ฟิจิ
52. FKP ปอนด์หมู่เกาะฟอล์กแลนด์
53. GBP ปอนด์สเตอร์ลิง (สหราชอาณาจักร)
54. GEL ลารีจอร์เจีย
55. GHC เซดีกานา
56. GIP ปอนด์ยิบรอลตาร์
57. GMD ดาลาซีแกมเบีย
58. GNF francGuinea
59. GTQ Guatemalan quetzal
60. GYD ดอลลาร์กายอานา
61. HKD ดอลลาร์ฮ่องกง
62. HNL Honduran lempira
63. HRK Croatian kuna
64. HTG กูร์ดเฮติ
65. HUF ฟอรินต์ฮังการี
66. IDR รูเปียห์อินโดนีเซีย
67. ILS เชเกลอิสราเอล
68. INR รูปีอินเดีย
69. IQD ดีนาร์อิรัก
70. IRR เรียลอิหร่าน
71. ISK โครนาไอซ์แลนด์
72. JMD ดอลลาร์จาเมกา
73. JOD ดีนาร์จอร์แดน
74. JPY เยนญี่ปุ่น
75. KES ชิลลิงเคนยา
76. KGS ซอมคีร์กีซสถาน
77. KHR เรียลกัใพชา
78. KMF ฟรังก์คอโมโรส
79. KPW วอนเกาหลีเหนือ
80. KRW วอนเกาหลีใต้
81. KWD ดีนาร์คูเวต
82. KYD ดอลลาร์หมู่เกาะเคย์แมน
83. KZT เทงเจคาซัคสถาน
84. LAK กีบลาว
85. LBP ปอนด์เลบานอน
86. LKR รูปีศรีลังกา
87. LRD ดอลลาร์ไลบีเรีย
88. LSL โลตีเลโซโท
89. LTL ลีตัสลิทัวเนีย
90. LVL ลัตลัตเวีย
91. LYD ดีนาร์ลิเบีย
92. MAD เดอร์แฮมโมร็อกโก
93. MDL ลิวมอลโดวา
94. MGA อะเรียรีมาดากัสการ์
95. MKD เดนาร์มาซิโดเนีย
96. MMK จ๊าดพม่า
97. MNT ทูกริกมองโกเลีย
98. MOP ปาตากามาเก๊า
99. MRO อูกียามอริเตเนีย
100. MTL ลีรามอลตา
101. MUR รูปีมอริเชียส
102. MVR Maldives rufiyaa
103. MWK Malawi kwacha
104. MXN เปโซเม็กซิโก
105. MXV Mexican Unidad de Inversión (UDI) (Funds code)
106. MYR ริงกิตมาเลเซีย
107. MZM Mozambique metical
108. NAD ดอลลาร์นามิเบีย
109. NGN Nigerian naira
110. NIO Nicaraguan córdoba
111. NOK โครนนอร์เวย์
112. NPR รูปีเนปาล
113. NZD ดอลลาร์นิวซีแลนด์
114. OMR Omani rial
115. PAB Panamanian balboa
116. PEN Peruvian nuevo sol
117. PGK Papua New Guinea kina
118. PHP เปโซฟิลิปปินส์
119. PKR รูปีปากีสถาน
120. PLN ซวอตีโปแลนด์
121. PYG Paraguayan guaraní
122. QAR Qatari rial
123. RON ลิวโรมาเนีย
124. RUB Russian ruble
125. RWF Rwandan franc
126. SAR Saudi Arabian riyal
127. SBD ดอลลาร์หมู่เกาะโซโลมอน
128. SCR รูปีเซเชลส์
129. SDD Sudanese dinar
130. SEK Swedish krona
131. SGD ดอลลาร์สิงคโปร์
132. SHP ปอนด์เซนต์เฮเลนา
133. SIT Slovene tolar
134. SKK Slovak koruna
135. SLL Sierra Leonean leone
136. SOS Somali shilling
137. SRD ดอลลาร์ซูรินาเม
138. STD São Tomé and Príncipe dobra
139. SYP ปอนด์ซีเรีย
140. SZL ลิลังเจนีสวาซิแลนด์
141. THB บาทไทย
142. TJS โซโมนีทาจิกิสถาน
143. TMM มานัตเติร์กเมนิสถาน
144. TND Tunisian dinar
145. TOP Tongan Pa'anga
146. TRY ลีราตุรกี
147. TTD ดอลลาร์ตรินิแดดและโตเบโก
148. TWD ดอลลาร์ไต้หวัน
149. TZS ชิลลิงแทนซาเนีย
150. UAH ฮริฟเนียยูเครน
151. UGX ชิลลิงยูกันดา
152. USD ดอลลาร์สหรัฐ
153. USN United States dollar (Next day) (Funds code)
154. USS United States dollar (Same day) (Funds code) (one source claims it is no longer used, but it is still on the ISO 4217-MA list)
155. UYU เปโซอุรุกวัย
156. UZS ซอมอุซเบกิสถาน
157. VEB โบลีวาร์เวเนซุเอลา
158. VND ดองเวียตนาม
159. VUV วาตูวานูอาตู
160. WST Samoa Tala
161. XAF CFA franc BEAC
162. XAG Silver ounce
163. XAU Gold ounce
164. XBA European Composite Unit (EURCO) (Bonds market unit)
165. XBB European Monetary Unit (E.M.U.-6) (Bonds market unit)
166. XBC European Unit of Account 9 (E.U.A.-9) (Bonds market unit)
167. XBD European Unit of Account 17 (E.U.A.-17) (Bonds market unit)
168. XCD ดอลลาร์แคริบเบียนตะวันออก
169. XDR Special Drawing Rights (IMF)
170. XFO Gold-franc (Special settlement currency)
171. XFU UIC franc (Special settlement currency)
172. XOF CFA franc BCEAO
173. XPD Palladium ounce
174. XPF CFP franc
175. XPT Platinum ounce
176. XTS Code reserved for testing purposes
177. XXX No currency
178. YER เรียลเยเมน
179. ZAR แรนด์แอฟริกาใต้
180. ZMK ควาชาแซมเบีย
181. ZWD ดอลลาร์ซิมบับเว

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,61.0.html

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

ค่าคอมมิสชัน ในการเทรด Forex

โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?

อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้

ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น

ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด

บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว

โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ

จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,53.0.html

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

บทนำกลยุทธ์การเก็งกำไร

ประเด็นหนึ่งที่นักเล่นหุ้นทั้งหลายสับสนกับชีวิต ว่าควรจะเป็นนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไรดี เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ เพราะ “เมื่อซื้อหุ้นอยากลงทุน แต่พอหุ้นขึ้นแรง กลับขาย เพราะอยากเก็งกำไร”  “แต่เมื่อซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร หวังให้หุ้นขึ้น แต่พอหุ้นตกกลับบอกขอถือเพื่อเป็นการลงทุน”  แต่สำหรับตัวผม แล้วมองทุกอย่าง ก็คือการเก็งกำไร หากคุณอยากที่จะขายเพื่อทำกำไรจากสิ่งนั้นๆ ยกเว้นเสียแต่ ผู้ที่ซื้อหุ้นเพื่อสะสม หรือเก็บไว้เพื่อรับปันผล ดังเช่น วอเรนต์บัฟเฟต หรือ ผู้ที่ชอบซื้อสิ่งของที่มีค่าสะสม เช่น รูปภาพ, แสตมป์ หรือของ โบราณ เพื่อขายในราคาที่สูงจนเกินความพอใจ มากๆ (โดยที่ไม่ขายก็ไม่เดือดร้อน เพราะชอบและรัก กับของสะสมนั้นๆอยู่แล้ว) จึงจะเรียกว่านักลงทุน

ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องรู้คือ รู้จักตัวเอง ก่อนที่จะรู้จัก สิ่งอื่นๆ เพราะ หากเรารู้จักตัวเองดีพอ ก็จะสามารถ กำหนดกลยุทธ์การลงทุน หรือการวางแผน ให้ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นผมจึงรวบรวมข้อคิดที่ จะมาบอกกล่าว ในรูป กลยุทธ์ การเก็งกำไรกัน ซึ่งบทความนี้อาจจะมีบางส่วนที่อ้างอิง จากหนังสือ เรื่อง “The Zurich Axioms”

บทนำกลยุทธ์การเก็งกำไร
“ในตลาดการลงทุนส่วนใหญ่มักมองว่า การเก็งกำไรเป็นเรื่องเลวร้าย ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนโดยสิ้นเชิง  แต่ความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนต่างหาก ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการกำไร จากการลงทุน เพียงมองแต่ว่า การใช้ระยะเวลา หรือผลประโยชน์ระยะสั้น ก็จะมองเพียงเป็นการเก็งกำไร แต่การร่วมลงทุนในระยะยาวถือเป็นการลงทุน แต่แท้ที่จริงทุกคนต่างมองถึงผลประโยชน์ ซึ่งปรับแต่งคำพูดให้สวยงามว่าเราต่างเป็นนักลงทุน”

โดยธรรมชาติแล้วกิจกรรมการเงินอะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดกำไรมักจะเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ไม่ว่าผู้เกี่ยวข้องจะเป็นนักเสี่ยงโชคหรือไม่ก็ตาม วิธีเดียวที่ทำให้ความเสี่ยงใกล้ศูนย์คือการฝากเงินกับธนาคารหรือนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล แต่ผลตอบแทนก็ย่อมต่ำไปด้วย ด้วยเหตุนี้บรรดานักลงทุนที่กระตือรือร้นต่างพยายามขวนขวายหาการลงทุนแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงกว่า แต่ที่แปลกคือทุกคนต่างไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังเก็งกำไร กำลังเสี่ยงเงินของตนหรือกำลังเล่นการพนัน หากแต่แสร้งทำเป็นว่าตนเองมีความฉลาดรอบคอบและเรียกกิจกรรมที่ตนเองประกอบอยู่ว่า “การลงทุน”

ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนและนักเก็งกำไรฟังดูไม่ต่างกันนัก เพราะการลงทุนทุกชนิดคือการเก็งกำไร แตกต่างกันแต่เพียงว่าบางคนยอมรับในขณะที่บางคนไม่ยอมรับ ไม่ว่าคุณจะเรียกกิจกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ว่าเป็นการลงทุนหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็ยังหนีความจริงไม่พ้น เพราะการพนันก็ยังคงเป็นการพนันวันยังค่ำ เพราะฉะนั้นการลงทุนทุกชนิดคือการเสี่ยงโชค เพราะคุณต้องเลือกวางเงินของคุณไว้ข้างหน้าว่าจะแทงกองไหน ไม่ว่าคุณจะเลือกหุ้นอะไรก็ตาม ยอมรับเสียเถอะว่านั้นคือการเสี่ยงโชค ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมาหลอกตัวเอง

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ เจสซี่ ลิเวอร์โมร์ กล่าวว่า
“ความเสี่ยงอาจมีผลทางบวกหรือลบ เพราะ เราอาจจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่แทนที่จะได้รับผลตอบแทน แต่อย่างไรก็ดีถ้าเราจนลงเพราะการเสี่ยงโชคแล้ว มันก็ยังดีกว่า การที่จนลงเพราะอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือ?”

“ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร คุณจะต้องเผชิญกับสิ่งที่หวานและขมเสมอ ถ้าคุณเลี้ยงผึ้ง คุณก็ย่อมถูกผึ้งต่อย แต่สำหรับผม ผมก็มีความกังวลอยู่เสมอ ถ้าใครไม่มีความกังวลแล้ว เขาผู้นั้นคงยากจนต่อไป”
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,43.0.html

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

ความแตกต่างของการวิเคราะห์หุ้นทางพื้นฐานกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค article

หากบอกถึงความแตกต่างระหว่างการวิเคราะห์ทางเทคนิค และการวิเคราะห์ทางพื้นฐานแบ่งออกได้ดังนี้


พื้นฐาน - มองหา “มูลค่าที่แท้จริง” ของหลักทรัพย์นั้นๆ
-  มูลค่าที่แท้จริง “สูงกว่า” ราคาตลาด (ของแพง)
-  มูลค่าที่แท้จริง “ต่ำกว่า” ราคาตลาด (ของถูก)

เทคนิค - ดู “Demand & Supply” ของหลักทรัพย์นั้นๆ
-  ดูความต้องการของนักลงทุนว่าอยากซื้อ หรืออยากขาย
-  เป็นเรื่องของ “ Sentiment ” จิตวิทยาและสภาวะตลาด   

การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน   “Intrinsic Value”
-  ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น เช่นเงินปันผล หรือ P/E
-  อัตราการเจริญเติบโตของบริษัท
-  ผลประกอบการของบริษัท

การวิเคราะห์ทางเทคนิค “Demand & Supply”
-  ความเคลื่อนไหว ของราคาหุ้น
-  สภาวะตลาดและ จิตวิทยามวลชน
- ทิศทางของตัวเลขดัชนีต่างๆ

ความแตกต่างทางพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนทางพื้นฐานและทางเทคนิค
พื้นฐาน เน้นระยะยาว โดยซื้อแล้วเก็บ แต่สามาระยอมรับความเสี่ยงได้น้อย
เทคนิค สามารถลงทุนได้ทั้ง ระยะสั้นและระยะยาว โดยจะซื้อ-ขายตามสัญญาณทางเทคนิค และ ยอมรับความเสี่ยงได้มาก
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,41.0.html

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

เคล็ดลับสำคัญวิธีการเรียนรู้ Forex Trading

ให้การศึกษาหลายคนที่ตัดสินใจที่จะป้อน forex trading ควรแก่ตัวเองครั้งแรก. จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้พื้นฐานของการเทรดเข้าสำเร็จแม้, แต่นี่ไม่มีการรับรอง, โดยการยิงยาวไม่, คุณต้องการทราบเพิ่มเติมจากพื้นฐานถึงแม้แต่มีโอกาส fighting ของ succeeding. มีวิธีต่าง ๆ ในการเรียนรู้ forex trading. คุณสามารถเข้าร่วมบริการออนไลน์, การลงทะเบียนในการเทรดโรงเรียน, กลายเป็น การ apprentice ของวาณิชเป็น forex, หรือทำคนเดียว. อย่างไรก็ตาม, ทำคนเดียวเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น.

สำหรับ traders ไม่มีประสบการณ์, ดีมากควรเลือกวิธีปลอดภัยกว่าเรียน forex trading. คุณจะได้รับประโยชน์จากผู้สอนมีประสบการณ์ที่กำลังทำการค้าแล้ว forex ในเวลาจริง. ในลักษณะนี้, คุณจะได้รู้จักมักจี่เงื่อนไขที่ตลาดจริง. คุณจะได้รับโอกาสเพื่อดูกระบวนการที่แท้จริงและการตัดสินใจซึ่งคุณสามารถ adopt ในภายหลัง. อย่างไรก็ตาม, มันเป็นกลยุทธ์ของคุณเองที่จะชนะคุณขึ้น.

มีขั้นตอนง่าย ๆ ที่หกที่ traders ไม่มีประสบการณ์สามารถปฏิบัติตามเพื่อให้บรรลุความสำเร็จในตลาด forex.
1. ทัศนคติด้านขวา. Traders ที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขาย forex จะใช้ทัศนคติของการทำสิ่งที่จะใช้เพื่อให้บรรลุความสำเร็จ. Stresses นี้ประสบความสำเร็จนั้นอยู่ในบุคคลที่กำลังทำการค้า forex เอง. ไม่ใช่สิ่งสำคัญถ้าคุณอ่าน forex ค้าเคล็ดลับแผ่น หรือฟังเทรดกูรู. จะกลายเป็นไม่ถูกต้องถ้าคุณไม่มีท่าทีที่เหมาะสมสำหรับความสำเร็จ.

คุณสามารถทำการทดลองด้วยตนเองสำหรับสองสัปดาห์ร่วมกับ traders อื่น ๆ ไม่มีประสบการณ์. พวกเขามักจะเรียกว่าเป็น turtles. เรียนรู้การซื้อขาย forex คือหลีกเลี่ยงกับดักของเชื่อว่า คุณจริง ๆ สามารถเข้าประสบความสำเร็จ โดยต่อบุคคลอื่น. เพิ่งได้รับความรู้ด้านขวา และพัฒนากลยุทธ์ของคุณเอง.

2. วิธีการด้านขวา. มันควรเกี่ยวข้องกับแนวโน้มระยะยาว. โปรดจำไว้ว่าแนวโน้มในสกุลใหญ่กินเวลาเดือน หรือแม้แต่ สำหรับปี. เป็นความรับผิดชอบของคุณเพื่อล็อกตัวเองเข้าไปในแนวโน้มเหล่านี้เพื่อทำให้กำไรขนาดใหญ่. ดีที่สุดแนะนำให้ใช้วิธีการหยุดการจับแนวโน้มระยะยาว. วิธีการนี้ได้พิสูจน์ ด้วยการนำระบบซื้อขาย. ซอฟต์แวร์ดียังได้แนะนำให้ใช้. ซึ่งช่วยให้คนขายเพื่อทดสอบวิธีการค้าที่ถูกเลือก และในภายหลังค้าในเวลาจริง.

คุณจำเป็นต้องรู้ว่าการสร้างแผนภูมิที่เหมาะสมและการแมป. มีพร้อมใช้งานซอฟต์แวร์ที่จะช่วยคุณเกี่ยวกับการย้ายตลาดอยู่แล้ว. มันจะช่วยให้คุณคำนวณเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการขาย หรือการซื้อเมื่อคุณได้อ่านแผนภูมิการตลาด forex.

3. วินัยด้านขวา. Traders ที่ควรวินัยตัวเอง โดยเคร่งครัดต่อในวิธีของพวกเขาพัฒนาแล้วแม้ว่าการสูญหายของรอบระยะเวลา strikes. มันไม่สามารถสอนได้เทคนิคใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิธีการเอาตัวรอดในตลาด forex แม้เมื่อ downfalls ตี.

4. ความรู้ด้านขวา. Traders ที่สามารถเรียนรู้วิธีการเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว, อย่างไรก็ตาม, พวกเขาควรเอาชนะจิตนี่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย forex. ขอแนะนำให้อ่านหนังสือ motivational ที่มุ่งเน้นเรื่องนี้ส่วนใหญ่.

5. มีความเสี่ยง. ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ดำเนินการ โดยส่วนใหญ่ forex traders พยายามที่จะจำกัดความเสี่ยง. ในสุด พวกเขาอาจประสบการขาดทุนอย่างมากเนื่องจากพวกเขาที่ถูกบล็อกออกในตลาด forex. ทิศทางของเจ้าคือขวาอย่างไรก็ตาม ทางการค้าไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับ downsides. จำไว้เสมอว่า ใน forex ค้าความเสี่ยง lays เงินรางวัล. ไม่มีความแตกต่างระหว่างรีบในการรับความเสี่ยงซึ่งจะถูกคำนวณเรียบร้อยแล้ว. อนุญาตเฉพาะให้คุณรอโอกาสด้านขวา.

6. ค้าขายในการแยก. คนขายของที่ควรเรียนรู้นี้จะทำให้การโฟกัส. จำไว้ว่า ถ้าคุณจะเปิดไปยังมุมมองและความคิดเห็นของผู้อื่น, มันอาจสนับสนุนให้คุณถ้าคุณพบว่าแตกต่างกันมาก. ความหมายไม่จำเป็นว่า คุณได้ทำตามความคิดเห็นที่ตกลงกัน โดยมาก traders, เนื่องจากมัก, traders หลายรับขาดทุน.

Forex ตลาดถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก. เป็นปฏิบัติยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน, อาทิตย์ละ 5 วัน. กระบวนการของจะถูกดำเนินในเวลาจริงโดยไม่มีขอบเขต. ความสำเร็จของคนขายยังขึ้นกับการทำการตัดสินใจด้านขวา. เรียนรู้การซื้อขาย forex มีไม่มีอุปสรรคและจุดดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจดีขึ้นก่อน plunging ลงในธุรกิจ. แม้ว่าบางคนแนะนำที่เรียน forex ในขณะที่การค้าเป็นดีที่สุด, แต่เป็นการตัดสินใจเลือกวิธีการที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ที่จะเหมาะสมกับความต้องการของคุณ.

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,55.0.html

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

เรียนรู้ Forex Trading: ตัวเลือกที่แตกต่างกัน

Forex trading, อาจได้ยินผู้คนมากมายของมันอยู่แล้ว, แต่ไม่ใช่ทั้งหมดรู้ว่ามันคืออะไรทั้งหมดเกี่ยวกับ. หนึ่งมักอาจคิดว่า มันเป็นสำหรับ ‘big’ ที่, บิ๊กธุรกิจและองค์กร. แต่นั่นคือไม่ดังนั้น, อันที่จริง, มีบุคคลทั่วไปที่จะเข้าซื้อขาย forex มากมาย.

ต่างประเทศหรือประชาชาติมีสกุลเงินอื่น. แต่สกุลเงินทั้งหมดไม่มีการซื้อขายในตลาด FX. มีสกุลเงินหลักเจ็ดที่ซื้อขายในตลาด. Forex ค้าคือ การซื้อ และขายของสกุลเงินในการจับคู่. นอกจากนี้คุณอาจจะสามารถทำการค้าขาย โดยไม่มีคู่สกุลเงิน. ตัวอย่างการทั่วไปคือ ดอลลาร์สหรัฐ/ญี่ปุ่นเยน. พื้นฐานการค้า forex เป็นสกุลเงินในราคาที่ต่ำกว่าซื้อ และขายที่ราคาสูงขึ้นมาก. แต่บางครั้ง, มีความรู้นี้มีไม่เพียงพอ. Forex เทรดมากสิ่งที่แตกต่างกันที่แต่ละบุคคลทั้งหมดที่ไม่มีความรู้ที่เหมาะสมบนที่เกี่ยวข้องกับ.

ใช้เวลาการค้า Forex วางยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน, ดังนั้นแม้เมื่อคุณกำลังหลับ, การค้าขายกันอยู่. FX ตลาดคือ ตลาดทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งหมดทีเดียว. นั่นคือเหตุผลที่องค์กรมากมาย และแต่ละบุคคลจะดึงดูดการทำการค้าขาย.

ก่อนที่จะ, speculators ขนาดใหญ่, ธนาคารและสกุลเงิน traders ครอบงำตลาด FX, แต่ที่ไม่เป็นจริงวันเหล่านี้. ขณะนี้มีโบรกเกอร์ที่สามารถช่วยบุคคลและบริษัทขนาดเล็ก โดยการแบ่งหน่วยเข้าบัญชีทันที.

ถ้าคุณสนใจ forex trading, คุณสามารถทำได้เพียงอย่างเดียว, แต่ความพยายามที่เข้าร่วมประชุม forex ชั้นแรก, หรือปฏิบัติเป็นการ apprentice. ตลาด forex เป็นแบบเปลี่ยนแปลงได้, traders ใหม่อาจหาได้ยากเนื่องจากของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ.

ตัวเลือกสองล่าสุดจะดีขึ้นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณยังใหม่ในตลาด FX. ด้วยวิธีนี้, คุณจะได้ประโยชน์มากจากการมีผู้สอน well-experienced. คุณจะมีเวลาจริงพบซึ่งคุณสามารถใช้ในภายหลังเมื่อคุณทำการค้าของคุณ.

คุณจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการของ forex ซื้อขายครั้งแรก. โปรดจำไว้ว่า ตลาด FX ไม่มีขอบเขตหรืออุปสรรค. ดังนั้นก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในตลาด, คุณจำเป็นต้องทราบจุดด้านขวา.

Charting และแม็ปยังมีประเด็นที่สำคัญในการค้าขาย forex. ซอฟต์แวร์การทำแผนภูมิจะพร้อมใช้งาน, คุณสามารถป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับมัน; ตลอดจนเรียนรู้วิธีการใช้อย่างถูกต้องแมป. เจอแบบนี้, คุณสามารถดูวิธีย้ายตลาด. และคุณสามารถเดี๋ยวนี้ดีตัดสินใจว่าจะซื้อ หรือขายสกุลเงิน, และหากำไรในกลับ.

อีกสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้เป็นเทรดจิตวิทยา. คุณควรทราบวิธีการจัดการกับการขาดทุนทั้งหมดของคุณอย่างถูกต้อง, แน่นอนคุณไม่คาดหวังให้ได้ตลอดเวลา. ถ้าเป็นระยะสั้น คุณได้ทำการขาดทุนมากมาย, บางทีเวลาหยุดเพียงสำหรับบาง. ไม่ต้องถูกเก็บในการทำการค้าขาย, มิฉะนั้น คุณอาจต้องชำระขาดทุนมากมาย.

Starters ใหม่ใครได้ทันทีได้กำไรมากมายอาจคิดว่า พวกเขารู้มากจนเกินไป. แต่มันช่วยให้คุณทราบว่าไม่เหมือนกันทั้งหมด throughout. กำไรดี oftentimes กระตุ้นคนเพิ่มเติมในการซื้อขายมาก, โดยไม่คิดของความเสี่ยง. วินัยคือ คุณลักษณะหนึ่งที่คุณควรฝึก และเรียนรู้.

Starters, ใครไปถึงเทรดในตนเอง, โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ, อาจไม่ประสบความสำเร็จในทางการค้าแบบนี้, ไม่ยกเว้นที่เขาหรือเธอเป็น ‘นิ '. แม้ว่าพวกเขาอาจสนุกสนานกับยอดกำไร, เวลาจะมาเมื่อไม่ได้ทันกับการค้าขายโดยไม่มีความรู้ซื้อขาย forex และด้านเทคนิคของ.

เป็นการพาณิช, คุณคนเดียวสามารถตัดสินใจเลือกที่จะดีที่สุดสำหรับคุณ. เรียนรู้การซื้อขาย forex ต้องอุทิศตน, ถ้าคุณสามารถดึงมันปิดบนของคุณเอง, ดีสำหรับคุณ. แต่ ถ้าคุณคิดว่า คุณต้องการให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย, คุณมีอิสระที่จะเลือกจากหลายเทรดคลาสที่ได้รับการเสนอ; หรือคุณสามารถเป็นของนายหน้าซื้อขายแบบ apprentice. อย่างไรก็ตาม เลือกของคุณ, คุณสามารถเรียนรู้มากเกี่ยวกับ forex trading. และประสบการณ์การเรียนรู้ของคุณทั้งหมดสามารถเป็นความสำคัญเมื่อคุณทำการค้าที่แท้จริงของคุณ.

ไม่มีไม่มีทดแทนเพื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม. ซึ่งให้จุดจับดีเกี่ยวกับการค้าขาย, และคุณสามารถมั่นใจได้ว่า คุณกำลังตัดสินใจที่ดี. สิ่งเหล่านี้จะแสดงให้เห็นถึงมากจากกำไรที่คุณกำลังจะเข้า.

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,54.0.html

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

วางแผนการเทรด และเทรดตามแผนของคุณ

สูตรการเทรดforexให้ได้มากกว่าเสีย

1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)
ใน การเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ึความประสบความสำเร็จ
แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย
-  การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด
-  การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss)
-  การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target)
-  การวางแผนทางการเงิน ( Money Management)
-  การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management) การจัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม

แผน การเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ไกล้จะ Call Margin ( เงินใกล้จะหมด)  ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถหาได้จาก google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ

2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend ) 
อย่า คิดสวนเทรน  ให้หาสัญญาณ  Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง ( Bearish Market ตลาดแดนลบ)

3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)
สิง สำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้ เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

4. ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)
ถ้า ราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้ สิิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้ เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย และ   ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้ โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด  -30 จุด หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance

5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา (take Profit when the trade is good)
ก่อน ทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย ( Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy  ก็ได้

6. ตัดอารมณ์ออกไป (Be Emotionless)
สอง อารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear)  อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้ หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้ จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position)  ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้

7. อย่าเทรดตามคนอื่น  ( Do not trade base on tips from other people)
ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด

8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)
เมื่อ คุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก

9. เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด ( When in doubt, stay out)
เมื่อ คุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่

10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)
ไม่ ควรเปิดเทรดมากเกินไป  ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้ หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง  ดังนั้นอย่า เปิดเทรดจนมากเกินไป

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,58.0.html

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

มีทุนน้อยจะลงทุนใน Forex อย่างไรดี?

- จากที่เราสั่งซื้อด้วยเงินเพียง $1 ของเราเอง กำไรมันน้อยนิดมาก ขนาด +50 จุดยังทำเงินได้ 17 สตางค์เอง หากเราอยากทำกำไรเยอะๆ เช่น pip ละ $1 (50 pip ก็คือ $50) เราต้องสั่งเทรดถึง $10,000 เลยทีเดียว มีทุนไม่พอแน่ ทำไงดี ตรงนี้แหล่ะคjtที่ Leverage เข้ามามีผล Leverage มีผลกับการ เทรด Forex อย่างไร เรามาดูกัน

มารู้จัก Leverage กันค่ะ
- Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ค่ะ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

- แต่ไม่ต้องห่วงนะค่ะ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ค่ะ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะค่ะ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกค่ะ

- คิดคร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ค่ะ) นั่น หมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10% และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์

- ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ค่ะ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva (โบรกเกอร์) มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันค่ะ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5 เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็สุดยอดแล้วค่ะ)

- ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ดิฉันเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่หลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่เทรด

- ที่ FxOpen (โบรกเกอร์) ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เอง

- แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะค่ะ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ

คุณสามารถลงทุนใน Forex แทนได้ โดยใช้ทุนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด มาเริ่มเรียนรู้การลงทุนและทำเงินจาก Forex Trading ได้ที่นี่ และจงจำไว้เสมอว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง"

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,57.0.html